เคยเป็นไหม...แบบว่าหายใจไม่ทั่วท้อง หูอื้อ ตาลาย คล้ายๆ จะเป็นคนชอบพี่พอร์ช
ไม่ๆๆ ตะวันหมายถึง...คนจะเป็นลมอะไรแบบนี้ T^T
ใช่แล้วล่ะ คนตัวเล็กมีอาการแบบนี้ตั้งแต่พี่ตฤณเลี้ยวเข้ามาในคอนโดหรู ซึ่งมองจากตาเปล่าก็รู้ได้ทันทีว่าต้องแพงมากแน่ๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...
ประเด็นคือตอนนี้นับตะวันมายืนอยู่ในคอนโดของพี่พอร์ชแล้ว
“เหมียวเล็กกินอะไรมาหรือยังคะ”
พี่ไทเลอร์คือคนแรกที่เข้ามาทักตะวัน เด็กน้อยยืนจังก้าอยู่บริเวณหน้าประตูห้องเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเอาตัวเองไปยืนอยู่ตรงไหนของห้องกว้างนี้
ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งๆ ที่ทุกคนตรงหน้าคือคนที่นับตะวันรู้จักเป็นอย่างดี เขาไม่ควรประหม่าแบบนี้ แต่เพราะว่านี่คือการมาคอนโดพี่พอร์ชครั้งแรกต่างหาก
ภายในห้องกว้างถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีดำอย่างที่เจ้าของห้องชื่นชอบ จะมีบ้างบางส่วนที่ใช้เป็นสีขาวเพื่อให้ตัดกับสีดำเช่นโซฟาที่ถูกจับจองด้วยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ 3 คน ถัดไปอีกนิดเป็นระเบียงห้องซึ่งถูกกั้นด้วยบานกระจกใสขนาดใหญ่
นับตะวันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี รู้แค่ว่าห้องนี้กว้างมากๆ เพราะเจ้าของห้องรวย...แล้วคนรวยอยากเลี้ยงแมวไหม?
นับตะวันหลุดจากภวังค์เมื่อถูกจิ้มลงที่แก้ม
“เหม่ออะไรคะ หิวเหรอ?” ไทเลอร์ถาม
“ปะ...เปล่าครับ ตะวันยังอิ่มขนมอยู่เลย”
“รุ่นพี่เลี้ยงแมวเลียเหรอ”
“ตะวันไม่ใช่แมววว”
“ฮ่าๆ น่ารักชะมัด”
“แล้วเจ้าของห้องไปไหนครับ...” เอ่ยถามเสียงแผ่ว พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธแม้ว่าดวงตากลมโตจะแอบเหลือบมองซ้ายขวาอยู่ก็ตาม
“มันไปสูบบุหรี่น่ะ หนูไปนั่งที่โซฟาก่อนเร็ว”
ไทเลอร์ดันหลังเด็กน่ารักให้เดินไปนั่งบนโซฟา น้องว่าง่ายไม่มีปริปากบ่นแถมยังโปรยยิ้มสดใสให้อย่างทุกที พอนับตะวันมานั่งท่ามกลางผู้ชายตัวโตแบบพวกเขาแล้วน้องยิ่งดูเหมือนลูกแมวที่อยู่ท่ามกลางหมาป่าตัวโตๆ มือเล็กบางถอดกระเป๋าสะพายใบเล็กวางลงบนโต๊ะด้านหน้า ก่อนจะจับจ้องแก้วสีใสที่บรรจุน้ำสีสวยอยู่ข้างใน
“อันนี้ดื่มไม่ได้นะคะ” เพลิงเอ่ยบอกน้องตัวน้อยที่จ้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่วางตา
“ทีพี่เพลิงยังดื่มได้เลย”
“พี่โตแล้วไง”
“ตะวันก็โตแล้ว”
“หัวยังไม่ถึงคางพี่เลยตะวันเอ๊ยย”
“อย่าบู้บี้ส่วนสูงตะวัน”
“คำพูดคำจาน่ารักจริงๆ”
คนอายุน้อยสุดย่นจมูกใส่เพื่อนสนิทพี่ชาย ก่อนที่จะหันไปสนใจพี่นานะที่หอบบรรดาขนมเดินมาที่โซฟาจนเต็มสองมือ
ตฤณภพเมื่อเห็นหวานใจหอบขนมมาจนล้นมือ จึงรีบวางแก้วเหล้าในมือลงแล้วหยัดกายลุกขึ้นไปช่วยนานะด้วยความหวังดี แม้ว่านานะจะไม่ต้องการก็เถอะ
“เอามาจากไหนเยอะแยะ”
“เผื่อน้องตะวันด้วยไง หรือจะให้น้องดื่มเหล้า?”
“ไม่เอาๆ เหมียวเล็กมันคออ่อน”
“เอ้า”
ตะวันเบือนสายตาจากภาพตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงกว้างโดยไม่รู้เลยว่ามีร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนหน้า
“อ๊ะ!”
กลุ่มควันสีเทาลอยขึ้นไปในอากาศเมื่อริมฝีปากหยักพ่นมันออกมา บุหรี่ในมือถูกทิ้งลงในกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเด็กน้อยจะเหม็นกลิ่นบุหรี่ที่เขาสูบ
ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกัน คนหนึ่งมองมานิ่งๆ ส่วนอีกคนดวงตาสั่นไหววูบหนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายละสายตาออกไป ท่อนขาเรียวก้าวเข้ามาหาเจ้าของห้องช้าๆ ก่อนจะมาหยุดยืนตรงหน้าจนเห็นความต่างของส่วนสูงอย่างชัดเจน
นับตะวันขบเม้มริมฝีปากแน่น ฝ่ามือน้อยทั้งสองข้างกำชายเสื้อไว้จนยับยู่ พยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้กับตนเอง ดวงตาหลุบมองที่ปลายเท้าของตน จนทำให้นับตะวันไม่ได้เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของพอร์ช
“พี่พอร์ช—”
“ไอ้นั่นเป็นใคร”
สองเสียงที่เอ่ยออกมาพร้อมกันทำให้คนทั้งคู่ชะงักนิ่งงัน นับตะวันแม้จะหลุบตามองพื้นแต่ทว่าแววตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง
“หืม? พี่พอร์ชหมายถึงใคร?” เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับคนที่สูงกว่า
“ตะวันงงอ่า...”
“ที่โรงอาหาร”
“หืม?”
“วันนั้นที่โรงอาหาร ที่มันจับไหล่ตะวัน”
“หมายถึงโทนี่เหรอ”
พอร์ชขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเด็กน่ารักตรงหน้ายังคงทำสีหน้างุนงงเหมือนไม่มั่นใจในคำตอบ แต่ทว่าก่อนจะได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้ นับตะวันตัวน้อยก็ได้เรียกวิชาแมวอ้อนเจ้าของขึ้นมาใช้...เขาไม่รู้ว่าพี่พอร์ชถามถึงโทนี่ทำไม แต่ตอนนี้เขาไม่สบายใจ นับตะวันอยากเคลียร์ใจเรื่องเมื่อ 2 วันก่อน
“พี่พอร์ชโกรธอะไรตะวันหรือเปล่า”
“…”
“วันนั้นอยู่ๆ พี่พอร์ชก็เดินหนีออกมา”
“…”
“โกรธที่ตะวันไปนั่งด้วยเหรอ”
“ใครบอก”
“ตะวันคิดเอง...”
ดวงตาสวยรื้นไปด้วยน้ำตาอย่างที่เจ้าตัวใช้เวลาเผลอทำความผิด เพราะหวังว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนขึ้นมา ซึ่งนับตะวันเคยใช้กับพี่พอร์ชได้ผลสมัยเด็กๆ และเขาก็หวังว่าครั้งนี้มันจะยังได้ผลอยู่
“วันนั้นพี่พอร์ชดูไม่พอใจแล้วก็ลุกเดินออกมาเลย”
“พี่ไม่ได้โกรธตะวัน”
คนตัวสูงก้าวเท้าเข้ามาหาเด็กน้อยที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ นั่นทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่สั้นลงจนใบหน้าสวยแนบเข้ากับแผ่นอกกว้างของคนพี่
“พะ...พี่พอร์ช”
คนตัวเล็กเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับการกระทำของคนพี่ ทว่าเมื่อตั้งสติได้นับตะวันจึงแหมะแก้มลงไปอย่างเต็มที่แล้วถูไถไปมาเบาๆ
“ไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้เด็กนั่นใช่ไหม”
“เป็นเพื่อนกัน”
น้ำเสียงอู้อี้เอ่ยตอบกลับมาเพราะนับตะวันกำลังตักตวงสัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดของพอร์ช มือคู่น้อยยกขึ้นกอดเอวสอบไว้แน่นก่อนจะหลับตาพริ้มแล้วสูดดมความหอมของน้ำหอมบนร่างกายสูงใหญ่ การกระทำนั้นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากพอร์ชได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ยังเป็นแมวหงอย ตอนนี้หูหางทิพย์กระดิกไปมาอย่างชอบใจ
เมื่อเห็นว่าน้องเป็นฝ่ายเริ่มกอดตนเองก่อน พอร์ชจึงยกท่อนแขนแกร่งกอดตอบน้องกลับไปบ้าง เจ้าลูกแมวน้อยส่งเสียงในลำคออย่างพอใจ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนลูกแมว
“ตะวันดีใจที่พี่พอร์ชไม่โกรธตะวัน”
“ไม่เคยโกรธ”
“พี่พอร์ชอยากเลี้ยงแมวไหม”
“ถามทำไม”
“ตะวันเมี๊ยวๆ ได้”
“หึ ใครสอนให้พูดแบบนี้”
“ตะวันคิดเอง”
“คิดเองเก่ง”
“แล้ว...พี่พอร์ชชอบไหม”
“แมวเหรอ?”
“หมายถึงตะวัน...”
เสียงเชียร์ฟุตบอลดังลั่นห้องกว้างอย่างที่ไม่ต้องกลัวว่าข้างห้องจะเดินมาด่า เพราะว่าคอนโดพอร์ชเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางเกลื่อนเต็มโต๊ะหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเหล้าหรือกระป๋องเบียร์ ไฟในห้องถูกหรี่ลงทำให้บรรยากาศดูสลัวเล็กน้อย
“..อืม”
เสียงครางในลำคอจากคนตัวเล็กดังขึ้นเมื่อเสียงเชียร์ฟุตบอลยังคงดังไม่หยุด แล้วดูท่าว่าจะดังขึ้นมากกว่าเดิมเพราะเกมการแข่งขันกำลังเข้มข้น เด็กน้อยนอนขดตัวบนโซฟาราวกับลูกแมวก่อนจะบี้แก้มขาวลงยังเบาะนุ่มเพื่อหวังว่ามันจะลดเสียงรบกวนได้
แขนแกร่งที่ประดับไปด้วยเส้นเลือดสวยอย่างชัดเจนชะงักมือที่กำลังจะกระดกเบียร์ขึ้นดื่ม ดวงตาคมเหลือบมองน้องชายของเพื่อนที่ขยับกายยุกยิกไปมา ก่อนจะปรายตามองตฤณภพที่ชูมือชูไม้เชียร์ฟุตบอลโดยไม่สนใจน้องที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา มือหนาวางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะก่อนจะตัดสินใจหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหานับตะวัน
ร่างบอบบางของนับตะวันถูกช้อนขึ้นอย่างเบามือในท่าเจ้าสาวโดยเจ้าของห้อง ปลายจมูกรั้นถูไถอกแกร่งไปมาเพื่อให้ได้ท่านอนที่สบาย ซึ่งการกระทำนี้ทำให้พอร์ชยกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู
ท่อนขาเรียวสาวเท้าไปยังห้องนอนของตน ก่อนที่ท่อนแขนแข็งแรงของพอร์ชจะค่อยๆ วางร่างบอบบางลงบนเตียงหลังกว้างช้าๆ เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเด็กน้อยที่จมอยู่ในห้วงนิทรา ครั้นเมื่อแผ่นหลังบางสัมผัสเข้ากับเตียงนุ่ม เด็กน้อยจึงได้ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
นับตะวันขยับกายน้อยๆ ขดตัวราวกับลูกแมว แก้มขาวบี้ลงบนเตียงนุ่มจนริมฝีปากเผยอน้อยๆ ดูน่ารักเหลือเกินในสายตาของคนที่ทอดมองอยู่ มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยลงยังพวงแก้มนุ่ม ไล้สัมผัสด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะเกลี่ยปอยผมที่
คลอเคลียใบหน้าสวยขึ้นไปทัดที่ใบหูขาว
สายตาที่ทอดมองยังร่างบางบนเตียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังแผ่วเบา ฝ่ามือใหญ่ลูบไปมายังกลุ่มผมสีน้ำตาลสวยนุ่มมือ นับตะวันครางในลำคออย่างพอใจก่อนจะเอียงศีรษะเข้าหาสัมผัสอบอุ่นนั้นตามความเคยชิน การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำเอาพอร์ช
มองไม่ละสายตา
“อื้อ”
เสียงครางแผ่วเบาในลำคออย่างมีความสุขดังขึ้นพร้อมกับเท้าคู่น้อยที่ถูไถเสียดสีกันน้อยๆ เมื่อสัมผัสอากาศเย็น พอร์ชเบนสายตาไปมองก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าไปยังห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกับห้องน้ำ
แล้วเพียงไม่นานก็ออกมาพร้อมกับถุงเท้าสีขาวในมือ จากขนาดก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของเจ้าของห้อง
เท้าขาวอมชมพูดูสุขภาพดีถูกประคองลงบนตักแกร่งอย่างถนอม ก่อนมือหนาจะค่อยๆ สวมถุงเท้าสีขาวให้อย่างเชื่องช้า... พอร์ชไม่เคยลืมว่าคนน้องต้องสวมถุงเท้านอนทุกครั้ง
ผ้านวมถูกดึงขึ้นมาคลุมกายลูกแมวน้อยที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงกว้าง พร้อมกับสัมผัสของฝ่ามือที่คอยลูบเรือนผมนุ่มไปมาราวกับต้องการขับกล่อมให้คนที่นอนหลับได้พบเจอกับฝันดี
ดวงตาคมที่ทอดมองเจ้าของร่างเล็กบนเตียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมอบให้ใคร ยามเด็กน้อยขยับศีรษะเข้าหาสัมผัสก็ช่างดูน่ารักเหลือเกิน
หัสวอนันต์เลี้ยงนับตะวันมาอย่างดี
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาลูกแมวตัวน้อยช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะกดจุมพิตลงยังหน้าผากมนแล้วแช่ค้างไว้แบบนั้น
“น่ารักฉิบหาย”
พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าเต็มไปด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด