“เป็นอะไรไป?”
เจ้าสัวนพมองหลานสาวใช้ช้อนคนถ้วยซุปอยู่เป็นานสองนาน ท่าทางใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนมีเรื่องกลัดกลุ้มให้คุร่นคิด จึงออกปากถามด้วยความเป็นห่วง
ทว่าดูเหมือนลัลล์นลินจะไม่ได้ยิน จึงเอาแต่ก้มหน้ามองถ้วยซุปพลางถอนหายใจอยู่หลาบรอบ กระทั่งน้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นกว่าเดิม
“เสี่ยวหลิน... หลานทะเลาะกับเจษณะรึเปล่า?”
ลัลล์นลินสะดุ้งเล็กน้อย รีบละจากภวังค์หันมองท่าน เห็นสายตาผ่านร้อนผ่านหนาวที่มองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็เริ่มอึกอักไม่รู้จะตอบท่านอย่างไรดี
“บอกปู่มา...” ท่านย้ำอีกครั้ง สีหน้ามีความกังวลยิ่งกว่าเดิม
ใจจริงลัลล์นลินอยากขอร้องให้ท่านยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเธอกับเจษณะลงเสีย แต่พอเห็นท่านไม่สบายใจเพราะเรื่องของตัวเองจึงพลอยรู้สึกผิดมาก เธอหลุบตาลงต่ำลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรที่อยากพูดออกไป
เธอรู้ดีว่าที่คุณปู่เลี้ยงดูเจษณะในฐานะทายาทของสิรพลากร ยกย่องคนนอกอย่างเขาให้มีฐานะเท่าเทียมกับเธอที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ไม่ใช่เพื่อแก้หน้าให้แก่ครอบครัวกับเรื่องอื้อฉาว เป็นเพราะท่านต้องการให้เขาดูแลเธอหลังจากที่ท่านลาโลกไปแล้ว ท่านจึงทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดแบ่งให้เธอ 70% พร้อมกับคฤหาสน์หลังนี้ และให้เขา 30% และกำหนดว่ากำไรส่วนหนึ่งของบริษัทมอบให้แก่สาธารณะกุศลตามความเหมาะสม
แต่ถ้าเจษณะไม่ยอมแต่งงานกับเธอ เขากับแม่ของเขาจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ไปตัวเปล่า ไม่ได้เงินจากตระกูลสิรพลากรเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าต่อให้เขาจะรังเกียจและดูถูกเธอมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ตัวเธอมีมูลค่ามหาศาลสำหรับความมั่งคั่งของเขา
ส่วนคนที่เขารัก... เจษณะก็คงเก็บหล่อนไว้ข้างกาย
เขารักอมลฉวีจะตาย เขาอยากอยู่กับหล่อนใจแทบขาด รอให้เขาแต่งงานกับเธอแล้ว พอสิ้นคุณปู่เมื่อไร เขาคงจะรีบหย่าขาดกับเธอทันที และยกย่องอมลฉวีขึ้นมาเป็นคุณผู้หญิงสิรพลากรแทน เพราะคุณปู่ไว้ใจเขามาก ในพินัยกรรมจึงไม่ได้ระบุไว้ว่าหากแต่งแล้วหย่าไม่ได้ และตามกฎหมายแล้ว หลังหย่าเขาก็สามารถแบ่งทรัพย์สินกับเธอได้คนละครึ่ง
แต่เธอมั่นใจว่าด้วยเกลียดชังที่เขามีต่อเธอ เจษณะคงไม่ให้อะไรเธอติดตัวไปแม้แต่บาทเดียว เขาจะต้องยักยอกทรัพย์สินของเธอไปจนหมดไม่มีเหลือแน่
พอคิดถึงความรักที่เจษณะมีให้อมลฉวี ภาพที่ทั้งคู่คลอเคลียอ่อนหวานอยู่ด้วยกันท่ามกลางฉากหลังที่สวยงามของหมู่มวลดอกไม้ ทั้งคู่สบตากันหวานหยด ยิ้มแย้มให้กันชื่นมื่น หัวใจเธอก็เจ็บปวดราวกับโดนฉีกกระชาก ปวดหนึบจนแม้แต่จะหายใจก็ยังไม่ทั่วท้อง
ลัลล์นลินก้มหน้าปกปิดความเศร้าโศกในแววตา กระพริบตาถี่ๆ ไม่ให้น้ำตาที่เอ่อล้นร่วงหยดลงมาให้คุณปู่เห็น ตอบน้ำเสียงสดใสเป็นปกติ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณปู่ หลินแค่กำลังคิดอยู่ว่าเย็นนี้จะทำอะไรให้คุณปู่ทานดี ทานแต่โจ๊กกับซุป หลินกลัวคุณปู่จะเบื่อฝีมือทำอาหารของหลินน่ะสิคะ”
เจ้าสัวนพค่อยๆ ยกมือที่เหี่ยวแห้งโรยแรงลูบผมของหลานสาวอย่างอบอุ่น อารมณ์ที่เธอเพียรสกัดกลั้นก็พังทลายลงมาทันที น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ หญิงสาววางถ้วยซุป แล้วโผเข้าฟุบหน้าลงบนตักท่าน ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ
“คุณปู่คะ หนู...”
“มีอะไรไม่สบายใจ ไหนลองเล่าให้ปู่ฟังสิ” ท่านถามเสียงอ่อนโยน มือยังคงลูบหัวเธออย่างนุ่มนวล
น้ำตาไหลนองหน้าลัลล์นลิน เธอพยายามเช็ด พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่างร้องไห้ แต่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ ได้แต่ร้องบอกท่านด้วยความอัดอั้น
“คุณปู่ขา หลินไม่หมั้นแล้วได้ไหมคะ หลินอยากอยู่กับคุณปู่ ดูแลคุณปู่แบบนี้ตลอดไปก็พอแล้ว”
“เด็กโง่...” เจ้าสัวนพปาดน้ำตาบนใบหน้าของหลานสาว “ปู่อายุปูนนี้แล้ว จะอยู่กับหลานได้อีกกี่ปีก็ยังไม่รู้ ก่อนปู่จะตาย ปู่อยากหาคนที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลปกป้องหลาน เจษณะเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ปู่เชื่อว่าเขาจะดูแลเสี่ยวหลินของปู่อย่างดี ไม่มีวันทอดทิ้งหลานเด็ดขาด หลานแต่งงานกับเขาเถอะนะ”
ลัลล์นลินส่ายหัวดิก
“แต่หนูไม่ต้องการใคร หนูต้องการคุณปู่แค่คนเดียว หลินอยากอยู่กับคุณปู่ตลอดไป”
ในชีวิตของเธอตั้งแต่เกิดและจำความได้ มีแค่คุณปู่คนเดียวเท่านั้นที่รักเธอเชื่อเธอโดยไม่มีข้อแม้ คนที่เธอรักไม่รักเธอ ซ้ำยังรังเกียจเธอ เธอจึงไม่มีใครให้เชื่อถือและเชื่อใจใครได้อีก เธอไม่อยากให้คุณปู่จากไป ไม่อยากสูญเสียความอบอุ่นสุดท้ายนี้ไป
หากท่านไม่อยู่ ก็เท่ากับว่าเธอได้สูญเสียโลกทั้งใบไปเลย...
แบบนั้นมันโหดร้ายกับเธอเกินไป!
“คุณปู่อย่าจากหลินไปไหนนะคะ อย่าทิ้งหลินไว้คนเดียว”
“เด็กน้อย... ปู่จะอยู่กับหลานไม่มีวันจากไปไหนเด็ดขาด ปู่จะทำให้เสี่ยวหลินมีแต่ความสุข เชื่อปู่นะ...”
ท่านพร่ำปลอบโยนเธออยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอจนเธอใจเย็นลงมาก ลัลล์นลินจึงดูและอยู่เป็นเพื่อนท่าน จนท่านหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
เธอคลี่ผ้าแพรผืนบางคลุมตัวท่าน แล้วเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ ลงบันไดชั้นสามมาที่ชั้นสองตรงกลับห้องตัวเอง ไม่ได้แวะไปที่ชั้นล่าง ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเช้า ทุกคนคงนั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่ห้องอาหาร เธอไม่อยากเจอพวกเขา ไม่อยากได้รับสายตาเย็นชาและคำพูดเหน็บแนมให้ใจเจ็บ
แต่ใครจะคิดล่ะว่า... จะมีคนเดินออกมาจากห้องของเธอ!
แวววรรณผงะทันทีที่เจอเธอ ท่าทางมีพิรุธรีบไพล่มือไปข้างหลังเหมือนซ่อนอะไรอยู่
“คุณมีอะไรกับหนูรึเปล่าคะ”
ปากเอ่ยถาม แต่สายตาของลัลล์นลินจ้องเขม็งไปที่มือของหล่อนไม่วางตา ได้ยินเสียงแวววรรณกระโชกตอบกลับมาว่า
“ฉันจะสนใจคนอย่างแกไปทำไม” หล่อนขึงตาเหยียดปากมองเธอเหมือนหนูสกปรกในท่อระบายน้ำ “ฉันอยากรู้ว่าคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”
ลัลล์นลินกระตุกยิ้ม มองคนตรงหน้าอย่ารู้ทัน ใจจริงแวววรรณคงอยากรู้มากกว่าว่าคุณปู่ตายรึยัง หล่อนเฝ้านับวันนับคืนให้ลูกชายได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของสิรพลากรโดยเร็ว
“คุณปู่สบายดีค่ะ กำลังพักผ่อนอยู่”
“งั้นก็ดี แกก็ดูแลคุณพ่อให้ดีๆ ละ อย่าเอาแต่กินกับนอน หัดตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนที่ท่านชุบเลี้ยงแกมาบ้าง”
พูดจบก็เดินกระแทกไหล่เธอจากไปอย่างคนพาล ลัลล์นลินขี้เกียจมีปัญหาจึงไม่อยากใส่ใจ แต่สายตาเหลือบไปเห็นสายสร้อยทองคำที่ร่วงมาจากมือหล่อนเข้า เธอจำได้ทันทีว่าเป็นสร้อยคอล็อกเก็ตที่คุณปู่ให้กับเธอ เป็นของแทนใจชิ้นสำคัญเพื่อระลึกถึงพ่อแม่เธอ
ลัลล์นลินเอื้อมมือไปกระชากตัวแวววรรณหันกลับมาเผชิญหน้ากัน เอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง
“คุณเข้าไปในห้องหนูทำไม”
แวววรรณหน้าถอดสี ขึ้นเสียงกลบเกลื่อน
“ใคร? ฉันเข้าไปที่ไหน”
“ไม่ได้เข้า แล้วสร้อยล็อกเก็ตของหนูไปอยู่ในมือคุณได้ยังไง”
“นังเด็กบ้า! อย่ามากล่าวหาฉันนะ!”
แววรรณกำมือแน่น สะบัดแขนออกอย่างแรงแล้วผลักลัลล์นลินจนกระเด็นล้มลง ระหว่างที่หล่อนยืนรอลัลล์นลินอยู่หน้าห้องเพื่อถามอาการป่วยของเจ้าสัวนพ อยากรู้ว่าเมื่อไรมันจะลงโลงไปสักที แต่รออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นใคร จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป พอมองไปรอบๆ ห้องสายตาก็เหลือบเห็นสร้อยคอทองคำแวววาว จึงฉวยติดมือมาด้วย หวังจะเอาไปแลกเป็นเงินในวงไพ่
หล่อนคิดว่าวันนี้ช่างโชคดีเสียจริง ใครจะรู้ว่าหล่อนโชคร้ายมาเจอมันตอนออกจากห้องเสียได้!
แวววรรณเร่งสาวเท้าพยายามหนีความผิด แต่ลัลล์นลินไม่ยอมปล่อยหล่อนไปง่ายๆ เธอรีบลุกพรวดพุ่งตัวเข้าไปกระชากตัวหล่อนอีกครั้ง เธอยื้อยุดฉุดรั้งกันอุตลุด พยายามแงะมือข้างที่กำสร้อยเอาไว้แน่น ไม่สนความเจ็บปวดบนหนังศีรษะที่ถูกแวววรรณดึงผมเอาไว้แน่นจนหน้าหงาย
ลัลล์นลินเจ็บจนน้ำตาร่วง แต่สู้กัดฟันทน จนสุดท้ายก็กระชากสร้อยออกจากมือหล่อนได้สำเร็จ แรงเสียดสีบาดผิวเนื้อเป็นรอยครูดยาวที่กลางมือทำให้แวววรรณร้องลั่นบ้าน หล่อนยิ่งเดือดดาลกระชากผมลัลล์นลินอย่างดุร้าย ตะโกนใส่หน้าเด็กสาวอย่างเกรี้ยวกราด
“อีเด็กสารเลว! อีลูกเมียน้อย! แกกล้าทำร้ายฉันเหรอ”
ลัลล์นลินกัดฟันไม่ร้องเลยสักคำ เธอทนแล้วทนอีก แต่พอเจ็บจนทนไม่ไหวจึงเผลอผลักหล่อนออกไปสุดแรง ลืมไปสนิทว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ของเจษณะ จิตใจของเธอตอนนี้มุ่งจะปกป้องของดูต่างหน้าพ่อแม่เพียงอย่างเดียว
“คอยดูเถอะ… ฉันจะฟ้องตาเจษให้จัดการแก”
แวววรรณที่สู้ไม่ได้ชี้หน้าด่าเด็กสาว กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเจ็บใจ ต้องงัดเอาไพ่ตายอ้างชื่อลูกชายขึ้นมาข่มขู่ เพราะเจษณะเป็นจุดอ่อนเดียวที่ทำให้ลัลล์นลินยอมก้มหัวให้หล่อน ยอมถูกหล่อนโขกสับรังแกเป็นประจำโดยไม่กล้าปริปาก
หล่อนลำพองโดยหารู้ไม่ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว...