เจษณะเหลือบมองไปยังหน้าต่างห้องนอนชั้นสองที่เพิ่งปิดไป พลางนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่เขาถือโอกาสพาอมลฉวีมาเดินเล่นในสวน เขายังไม่ละสายตาไปจากหน้าต่างบานนั้นเลย เขาปรารถนาจะได้เห็นจ้าของห้องนั่งอยู่ตรงนั้น
พอลัลล์นลินเห็นเขา เธอทำราวกับอากาศตรงหน้าเกิดเป็นมลพิษขึ้นมากะทันหัน หรือไม่ภาพที่เธอเห็นตรงหน้าก็คือปีศาจร้ายที่หมายจะฆ่าชีวิตเธอ เธอจึงรีบลุกขึ้นเดินมาปิดหน้าต่างทันที
เขาน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาเธอขนาดนั้นเลยหรือ?
หัวใจของชายหนุ่มพลันหดหู่ ปวดแปลบขึ้นมาดื้อๆ แววตาสลดจับจ้องหน้าต่างบานนั้นอย่างอาวรณ์ อยากจะส่งกระแสจิตให้เจ้าของห้องเปิดออกให้เขาได้เห็นหน้าเธอสักนิด เผื่อจะระงับความคิดถึงที่มีอยู่ในอกลงได้บ้าง หลังจากกอดเธอเมื่อคราวก่อน เขาก็ไม่ได้เห็นหน้าเธอมาสองวันเต็มๆ
เขารู้... ลัลล์นลินจงใจหลบหน้าเขา
เขาไม่คิดว่าเธอจะพูดจริง เรื่องที่ไม่ต้องการหมั้นหมายกับเขา ปกติเธอเป็นคนโกรธแป๊บๆ เดี๋ยวก็ลืม แถมยังอ่อนน้อมยอมลงให้เขามาโดยตลอด เขาจึงคิดว่าถ้าหากปล่อยให้เธออยู่คนเดียวสักวันสองวัน ลัลล์นลินก็คงจะหายโกรธเขาไปเอง
แต่เขาคิดผิด!
ยิ่งห่างกัน ยิ่งดูเหมือนเธอตั้งใจจะหมางเมินเขา อยากอยู่ให้ห่างจากสายตาเขา อยากวิ่งหนีเขาไปไกลๆ ในที่ที่มือของเขาเอื้อมไปไม่ถึง
เกิดอะไรขึ้นกับลัลล์นลิน?
จู่ๆ ก็เริ่มที่จะต่อต้านเขาเป็นแล้วเหรอ?
เธอไม่เคยทำตัวแข็งข้อกับเขาแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง อย่างมากเวลาที่เธอไม่พอใจ น้อยใจหรือเสียใจ เธอจะทำแค่เพียงก้มหน้า เม้มปากแล้วยืนอยู่เงียบๆ ไม่ตอบโต้อะไรเขาทั้งนั้น คงเป็นเพราะเธอกลัวว่าเขาจะโกรธ ไม่สนใจเธอ แล้วทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดี
แต่ตอนนี้เธอกลับมีความกล้า!
หรือเธอคิดว่าจะสามารถหนีไปจากเขาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เจษณะขมวดคิ้ว มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็นอันตราย มีแววเยาะเย้ยหญิงสาวว่ามีความคิดที่ไร้เดียงสาเกินไปหน่อยละมั้ง
เขามีสิทธิ์ไม่ต้องการเธอ แต่เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเขา
ลัลล์นลินควรรู้ตัวว่า... เธอเป็นของเขาแค่คนเดียว!
“เจษคะ...”
เขาละความสนใจจากหน้าต่างหันมองหญิงสาวอ่อนแอเปราะบางที่นั่งอยู่บนรถเข็น หล่อนมองหน้าเขาด้วยความสงสัย ดูเหมือนจะมองอยู่นานแล้วด้วย ดูจากคิ้วเรียวยาวที่ขมวดมุ่น
“คุณมีเรื่องอะไรในใจรึเปล่าคะ”
อมลฉวีถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าหล่อนดูเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเขาเสียอีก มองเจษณะที่นั่งลงบนม้าหินข้างหล่อน กุมมือหล่อน ยิ้มให้หล่อนอย่างอ่อนโยนด้วยหัวใจสั่นไหว ในแววตาของเขามีความสงสารและรู้สึกผิดปะปนมาด้วยเสมอ คล้ายกับว่าคนที่ทำให้หล่อนเป็นอย่างนี้คือเขา ไม่ใช่ลัลล์นลิน
อมลฉวีรู้ดีว่าทำไม?
แต่หล่อนไม่อยากยอมรับ ต่อให้เป็นเพียงแค่ความสงสารหรือรู้สึกผิด แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายคนที่สามารถดึงความสนใจจากเขาได้ คนที่ทำให้เขายิ้มอย่างอบอุ่นและเอาใจใส่ดูแลก็คือหล่อนคนนี้
แค่...หล่อนเท่านั้นที่ทำได้
ลัลล์นลินเป็นใคร?
เธอก็เป็นแค่ลูกเมียน้อย แตกต่างจากหล่อนที่เป็นลูกแม่บ้านตรงไหน?
อันที่จริงหล่อนต่างหากที่มาก่อน หล่อนอยู่กับเขาก่อนที่ลัลล์นลินจะก้าวเข้ามาในตระกูลสิรพลากรเสียอีก หล่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าพ่อบ้านที่เจ้าสัวนพไว้วางใจ แม่ของหล่อนเป็นแม่ครัวเอกประจำคฤหาสน์หลังนี้ หล่อนเกิดและเติบโตที่นี่ เป็นทั้งเพื่อนและน้องสาวที่เจษณะเอ็นดู
หล่อนกับเขาเข้ากันได้ดีทุกด้าน หากจะวัดกันที่นิสัยใจคอ ชาติตระกูล ฐานะหน้าตาทางสังคม หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีอมลฉวีมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดที่สู้ลัลล์นลินไม่ได้!
แล้วลัลล์นลินมีสิทธ์อะไรถึงได้ใจเขาไปครอง ส่วนหล่อนกลับทำได้แค่คอยมองอยู่ข้างๆ เท่านั้น...
ทำไมหล่อนจะต้องยอมให้ลัลล์นลินแย่งผู้ชายที่หล่อนรักไปด้วยล่ะ ในเมื่อหล่อนไมได้ด้อยไปกว่ามัน หล่อนพร้อมจะทำทุกอย่าง... ทุกวิถีทาง... ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์กลหรือมารยา...
เพื่อให้ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ‘หัวใจ’ เจษณะ
“ช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” เขายิ้มบางๆ พลางตบมือที่ผ่ายผอมแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของอมลฉวี
ฟังเขาพูดอมลฉวีเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าก็พลันเศร้าสลด เอ่ยปากด้วยความสะเทือนใจ
“อ้อ...จริงสิ อีกไม่กี่วันคุณกับหลินก็จะหมั้นกันแล้ว คงจะยุ่งมากเป็นธรรมดา ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณเลย ดีใจด้วยนะคะเจษ พวกคุณเหมาะสมกันมาก”
อมลฉวีหลุบตา กล่าวอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่สามารถเก็บงำความร้าวรานเอาไว้ได้ ร่างกายที่ซูบผอมค้อมลง หล่อนดูเหมือนตุ๊กตาเนื้อบางที่เปราะและแตกหักง่าย พร้อมจะสลายหายไปในพริบตา เห็นแล้วทำให้คนยิ่งรู้สึกเวทนาจับใจ
เจษณะถอนใจ เมื่อก่อนอมลฉวีเป็นหญิงสาวที่อ่อนหวาน ดวงตาของหล่อนเปล่งประกายอ่อนโยนอยู่เสมอ ทำให้คนมองแล้วสบายใจ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งสงบ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างหม่นแสงไปหมดแล้ว...
สีหน้าของหล่อนช่างอมทุกข์ เป็นปมด้อยกับความพิการของตัวเอง สิ่งนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับหล่อนเลย หากลัลล์นลินจะไม่ใจร้ายผลักอมลฉวีตกลงมาจากบันไดในวันนั้น
ยิ่งคิดเขายิ่งปวดใจ ทำไมลัลล์นลินถึงเลือดเย็นทำร้ายเพื่อนสนิทได้ลงคอ?
“รู้ไหมคะ... บางครั้งฉันก็แอบอิจฉาหลินเหมือนกันนะ เธอดูสดใส มีอิสระ อยากจะทำอะไรก็ทำได้ ผิดกับฉัน... ฉันเป็นแค่คนพิการที่ไร้ประโยชน์ เดินก็ไม่ได้ แถมยังเป็นภาระของคนอื่นอีก ฉันอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าถ้าหากฉันเดินได้อีกครั้งมันจะดีแค่ไหน ฉันอยากจะยืนเคียงข้างคุณค่ะเจษ นี่เป็นความฝันของฉันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นไปได้ มันคงจะทำให้ฉันมีความสุขมาก”
เจษณะมองรอยยิ้มเศร้าสร้อย ก่อนที่น้ำตาของอมลฉวีจะร่วงรินเหมือนลูกปัดที่ถูกกระตุกสาย ใจเขาปวดหนึบ ยิ่งทวีความโกรธมากขึ้น ขณะยกมือปาดน้ำตาให้หล่อนอย่างนุ่มนวล ยิ้มปลอบขวัญอย่างอบอุ่นน่าหลงใหล
ทำไมหล่อนถึงพูดเหมือนคนผิด?
อมลฉวีไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อลัลล์นลินเลยสักนิด เธอต่างหากที่ผิดและติดค้างหล่อนไว้มาก
“เขาทำให้คุณเป็นแบบนี้ ยังคิดจะไปใช้ชีวิตอย่างอิสระอีกเหรอ ไม่มีทาง! ผมไม่ยอมปล่อยให้คนผิดลอยนวลไปแน่ๆ ลัลล์นลินจะต้องอยู่ไถ่บาปที่นี่ เขาจะไปไหนไม่ได้เด็ดขาด”
อมลฉวีจับกระแสความหึงหวงที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงขุ่นมัวได้ ถึงปากเขาจะปฏิเสธ แสดงท่าทีรังเกียจรังงอนลัลล์นลินอย่างไร แต่หล่อนรู้ดีว่าในหัวใจเขายังมีมันอยู่ แทบไม่เคยละความสนใจจากผู้หญิงคนนั้นเลยสักวินาที
แม้เขาจะพยายามปกปิด แต่ก็ปิดหล่อนไม่มิดหรอก หล่อนรักเขา คอยเฝ้ามองเขามาโดยตลอด หล่อนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาคิดอะไรอยู่...
หล่อนรู้ใจเขามากกว่าที่เขารู้ใจตัวเองเสียอีก
“คุณอย่าโทษหลินเลยค่ะ มันคงเป็นกรรมของฉันเองมากกว่า ฉันไม่อยากให้พวกคุณผิดใจกันเพราะฉัน ไหนๆ ก็จะหมั้นกันอยู่แล้ว”
อมลฉวีจงใจเติมเชื้อไฟ บวกกับหน้าตาที่หม่นหมอง พอก้มหน้าลงก็ยิ่งดูน่าสงสาร ราวกับทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความเศร้า
ไฟโกรธของเจษณะก็ยิ่งลุกโชน มองคนตรงหน้าอย่างปวดใจ ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุอมลฉวีก็มักก้มหน้าไม่ยอมสบตาใครเลย หล่อนคงอับอาย รู้สึกอัปยศที่ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ ใจของหล่อนก็เลยว้าวุ่นสับสน คิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ถูกผู้คนและโลกใบนี้ทอดทิ้ง
เจษณะถอนหายใจหนักๆ พยายามระงับโทสะ เขาวางมือลงบนศีรษะ ลูบเรือนผมที่หยาบกระด้างเพราะขาดการบำรุงช้าๆ
อมลฉวีเงยหน้ามองเขา ยิ้มให้เขาพร้อมกับยกมือหล่อนกุมมือเขาไว้ ในแววตามีความซาบซึ้งดีใจ เจษณะมักจะปลอบหล่อนอย่างนี้เสมอในเวลาที่โศกเศร้า เขาทำแค่กับหล่อนคนเดียว แม้แต่ลัลล์นลินเขาก็ไม่เคยทำ
นี่แสดงให้เห็นว่าเขายังใส่ใจหล่อนอยู่ไม่ใช่หรือ?
“เขาทำร้ายคุณแบบนี้ คุณยังจะแก้ตัวให้เขาอีกเหรอ”
เขามองหล่อนอย่างนึกชื่นชม ทั้งที่หล่อนเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็ยังไม่วายออกหน้าปกป้องคนที่ทำร้ายหล่อนอีก
อมลฉวีเป็นคนดีจริงๆ
“คุณอยากกลับมาเดินได้อีกครั้งไหม”
ยังไม่รอให้อมลฉวีตอบ เขาก็ถามอีกครั้งยิ้มๆ แต่ในแววตาไม่มีความล้อเล่น มองหน้าหล่อนแน่นิ่งเหมือนรอคอยคำตอบอยู่ ดวงตาคมกล้าที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจหล่อนได้ ทำให้อมลฉวีใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก มีความแตกตื่นเล็กน้อย
“ฉันยังมีโอกาสอีกเหรอคะ”
เจษณะพยักหน้า
“ผมลองปรึกษากับคุณหมอที่เชี่ยวชาญในด้านนี้จากอเมริกาดูแล้ว เคสของคุณไม่ได้รับความเสียหายจนถึงขั้นพิการ คุณยังมีโอกาสที่จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ถ้าหากคุณยอมไปอเมริกาเพื่อทำการรักษาและทำกายภาพบำบัด”
ความตื่นเต้นคาดหวังกลายเป็นความกังวล สีหน้าของคนฟังซีดเซียวลงทันตา
“ฉันไม่อเมริกาได้ไหมคะเจษ ฉันอยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากห่างคุณไปไกล ให้ฉันรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองไทยเถอะนะคะ”
หล่อนวิงวอน โผเข้าสวมกอดเขาแน่น ซบหน้าเล็กๆ กับอกกว้างด้วยความหวาดกลัว ร่างผ่ายผอมสั่นระริกอย่างไม่ยินยอม
เจษณะโอบกอดหล่อน ลูบหลังไปพลางปลอบหล่อนไปพลาง
“ไม่ต้องกลัวนะ ใช้เวลาไม่นานหรอก แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง”
“แต่ฉันไม่อยากจากคุณไปค่ะเจษ คุณไม่รู้หรอกว่าโลกที่ไม่มีคุณอยู่ สำหรับฉันมันน่ากลัวขนาดไหน ให้ฉันตายซะดีกว่า”
หล่อนรู้ดีว่าขาของหล่อนไม่ได้พิการ ถึงจะหล่นจากที่สูง แต่ก็เป็นเพียงสันกระดูกกดทับเส้นประสาท มีโอกาสสูงที่จะรักษาให้หายได้ แต่ที่หล่อนบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังมาโดยตลอดสี่ปีนั้น ก็เพราะถ้าหากหล่อนหาย เจษณะก็จะไม่สนใจหล่อนอีก สายตาเขาจะหันกลับไปมองเพียงลัลล์นลินคนเดียว
กว่าหล่อนจะทำให้เขายอมหันมามองหล่อนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หล่อนยังไม่ทันจะได้เป็นคนพิเศษที่อยู่ในหัวใจของเขาเลย
แล้วจะให้หล่อนยอมรามือได้อย่างไร?
เจษณะตกใจ รีบดันตัวหล่อนออกห่าง แล้วเอ็ดเสียงขรึม
“ห้ามพูดแบบนี้อีกนะ คุณจะต้องหายดี และมีชีวิอยู่ต่อไป” ...ไม่ใช่เพื่อผมหรือเพื่อใคร แต่เพื่อตัวคุณเอง
เขาละคำที่อยากพูดไว้ในใจ ไม่อยากให้อมลฉวีหวาดกลัวจนสิ้นหวัง เข้าใจผิดว่าเขาคิดจะทิ้งหล่อนโดยไม่ไยดี ที่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้หล่อนหายเป็นปกติ ส่วนหนึ่งเพื่อตัวหล่อนเอง
แต่ทั้งหมดก็เพื่อลัลล์นลิน...
เขาอยากไถ่บาปแทนคนที่รัก ไม่อยากบีบบังคับให้เธอแบกรับข้อหาฉกรรจ์ ถูกผู้คนตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงใจคอโหดเหี้ยม
หากอมลฉวียอมรับการรักษา ถ้าอย่างนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ มิตรภาพระหว่างสองสาวก็กลับมาดีดังเดิม ความรักระหว่างเขากับลัลล์นลินก็จะเป็นไปได้
เขาสามารถที่จะรักลัลล์นลินได้อย่างเต็มหัวใจ ไม่ต้องรู้สึกผิดตะขิดตะขวงใจอย่างเช่นทุกวันนี้
“แต่ว่าฉัน...”
“อย่าเพิ่งตอบผมตอนนี้ ลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อแม่ของคุณดูก่อน แล้วค่อยให้คำตอบผมดีไหม”
เจษณะเอ่ยตัดบท รอยยิ้มยังคงฉาบอยู่บนใบหน้าเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว อบอุ่นแต่ไม่แผดเผา อ่อนโยนจนทำให้คนมองลืมที่จะปฏิเสธ
“แดดแรงแล้ว ผมพาคุณเข้าบ้านดีกว่า”
เขาลุกขึ้นเดินอ้อมไปข้างหลัง เข็นรถพาหญิงสาวกลับเข้าคฤหาสน์ ในแววตาที่ซุกซ่อนอารมณ์อย่างลึกลับไม่ได้มีความเป็นห่วงกลัวว่าอมลฉวีจะไม่สบาย
แต่... เขายังมีเรื่องสำคัญต้องเคลียร์กับคนสำคัญ