“อย่านะคะพ่อเลี้ยง อย่าทำแบบนี้นะ” อันนารู้สึกกลัวว่าเธอและชายหนุ่มจะถลำลึกไปกว่านี้ เพราะที่จริงแล้วหน้าที่คู่หมั้นของเธอมันก็แค่หน้าที่กำมะลอ
“จะหย่าได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเรายังไม่แต่งงานกัน” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความยั่วยุ มันทำให้หญิงสาวใจสั่นเป็นอย่างมาก
“เอ่อ..พ่อเลี้ยงปล่อยฉันเถอะนะคะ” หญิงสาวยังคงแกะมือที่ยึดหัวไหล่ของเธอไว้ แต่มือนั้นกลับแน่นราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน
“เธอจะออกไปก็ได้นะ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากมาใช้ชีวิตอยู่กับคนพิการไม่มีอนาคตแบบฉันหรอก” ธนนท์ตีความเจตนารมย์ของหญิงสาวผิดไป เขาคิดว่าเธอรังเกียจที่เขาตาบอด แต่แท้จริงแล้วหญิงสาวไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพ่อเลี้ยง ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ” อันนารีบกุมมือชายหนุ่มไว้ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกจริงใจ เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ทำให้เขาเผลอกลับไปคิดถึงเรื่องนี้อีกจนได้
“เธอจะออกไปก็ออกไปเถอะ ต่อไปนี้ไม่ต้องมาดูแลฉัน อย่าทำให้ฉันรู้สึกดีกับเธอไปมากกว่านี้เลย เพราะถ้าวันหนึ่งเธอทิ้งฉันไป ฉันอาจจะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ก็ได้” ธนนท์ยอมปล่อยมือจากหญิงสาว เขาอยากให้เธอไปมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมาทนดูแลคนพิการอย่างเขา ที่ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เขากลับมามองเห็นอีกครั้งหรือเปล่า
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมา มันทำให้หญิงสาวตัดสินใจทิ้งเขาไม่ลง เธอตัดสินใจรวบร่างสูงนั้นเข้ามากอด ก่อนที่จะลูบไล้ที่แผ่นหลังของชายหนุ่มเพื่อปลอบโยนเขา ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้หญิงสาวไม่รู้สึกกลัวเขา เธอสัมผัสได้อย่างเดียวจากเขา นั่นก็คือความอ้างว้างของเขานั่นเอง
“ฉันไม่ไปค่ะ ฉันจะอยู่ดูแลพ่อเลี้ยงจนกว่าพ่อเลี้ยงจะมองเห็นอีกครั้ง ถ้าวันที่พ่อเลี้ยงมองเห็นแล้วพ่อเลี้ยงไม่ต้องการฉัน วันนั้นฉันจะเป็นคนไปเองค่ะ” อันนากล่าวด้วยความจริงใจ เธอไม่สามารถทิ้งชายหนุ่มไปได้จริงๆ
“เธอแน่ใจว่าที่เธอทำแบบนี้แล้วจะไม่เสียใจ” ธนนท์กล่าวเตือนหญิงสาวอีกครั้ง
“ฉันไม่มีวันเสียใจกับอะไรที่ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว” หญิงสาวกล่าวจริงจัง
สิ้นสุดคำกล่าวของหญิงสาว ชายหนุ่มก็จับหัวไหล่บางอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาจุมพิตที่เรียวปากงามของหญิงสาว ชายหนุ่มเฝ้าดูดกลืนความหอมหวานที่เขาอยากสัมผัสมันมาตลอด และวันนี้เขายอมแพ้หัวใจตนเอง ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาจะไม่ทำ เพราะเขายังไม่ดีพอสำหรับคู่หมั้นของเขา