“ต้องเลี้ยวหรือตรงไป” เสียงเข้มของคนข้างๆ ทำให้ฉันต้องปรือตาขึ้นและใช้สายตาที่สั้นถึงสองร้อยพยายามเพ่งมองออกไปยังเส้นทางนอกกระจกรถ ซึ่งเป็นทางไปอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง
ตอนนี้คาร์เตอร์จอดรถอยู่ที่สี่แยกไฟแดงก่อนจะถึงซอยเข้าอพาร์ทเม้นท์ที่ฉันพักอยู่
“เลยแยกนี้ไปเลี้ยวซ้ายตรงซอยหกสิบห้า”
ว่าจบฉันก็เอนหลังพิงเบาะรถตามเดิมพลางหลับตาลงแน่น รู้สึกปวดตาเอามากๆ คงเป็นเพราะเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนักแถมยังหลับลงไปพร้อมกับตาที่ยังไม่ได้ถอดคอลแทคเลนส์ด้วย เลยทำให้ตาอักเสบ ปกติฉันจะใส่แว่นนะ แต่เวลารับงานจะใส่คอลแทคเลนส์เพราะมันทำงานสะดวกกว่า
“ทำไมมาอยู่ซอยเปลี่ยวแบบนี้ฮะเพลิน ดูอันตรายชิบ”
“...” อันตรายก็ไม่เท่าก็ได้เจอเขาอีกครั้งหรอก ฉันได้แต่คิดในใจปล่อยให้เขามาส่งตามอำเภอใจ ยังไงฉันก็หนีเขาไม่พ้นแล้วนี่ โดยเฉพาะตอนนี้เขามีรูปน่าเกลียดของฉันที่เขาถ่ายเก้บเอาไว้ ฉันก็คงไม่ต่างจากตายทั้งเป็นถ้าเขาจะทำร้ายกันด้วยการปล่อยรูปพวกนั้นลงโซเชียล
“เพลิน เข้ามากลางซอยแล้วนะไหนล่ะคอนโดเธอ” คาร์เตอร์ชะลอรถให้ช้าลง พลางมองซ้ายมองขวาหาคอนโดมิเนียมที่ว่า ซึ่งฉันอยู่เพียงอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ ถัดไปท้ายซอย ไม่ใช่คอนโดหรูหราที่เขากำลังชะเง้อมองแต่อย่างใด
“ตรงไปเกือบสุดซอย อยู่ซ้ายมือชื่ออพาร์ทเม้นท์เย็นฤดี”
ฉันหลับตาลงอีกครั้งเพราะตอนนี้เริ่มปวดตา ปวดหัว ปวดตัวไปหมด รู้สึกเหมือนเครื่องปรับอากาศจะเย็นเกินไป แม้จะมีเสื้อคลุมของคาร์เตอร์ที่คลุมตัวฉันไว้แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
“เบาแอร์ให้หน่อยได้ไหม หนาว” ฉันบอกออกไปเป็นเชิงขอร้อง ในขณะที่แขนทั้งสองถูกยกขึ้นโอบตัวเองเอาไว้หนีความเย็น
“ครับ” คาร์เตอร์ขานตอบสั้นๆ ส่วนฉันไม่ได้ลืมตาขึ้นมองเขาอีกแต่ก็พอสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ลดลง
“อพาร์ทเม้นท์เย็นฤดี ให้ตายเถอะเธอพักอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอเพลิน” คาร์เตอร์เลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถอันคับแคบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีมีที่จอดว่างไม่อย่างนั้นคงต้องจอดไว้ริมฟุตบาท ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกรถคนอันเฉี่ยวชนมาก
ด้วยรายได้ที่ไม่ได้มีมากมายอะไรและต้องส่งเงินกลับไปจุนเจือทางบ้านทุกๆ เดือน ทำให้ฉันมีปัญญาอยู่ได้แค่ห้องเช่าเล็กๆ ขนาดสามคูณสี่เมตร ยังดีที่ในห้องมีแอร์เก่าๆ อยู่หนึ่งตัว พอได้เปิดคลายร้อนได้บ้าง
“...” ฉันลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นหลี่ตามองอพาร์ทเม้นท์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สะบัดผมปิดรอยแดงช้ำตรงแผ่นหลังที่เขาทำรอยไว้ ถอดเสื้อคลุมของคาร์เตอร์ถูกวางเอาไว้ที่รถตามเดิม ก่อนจะค่อยๆ เดินขากะเผลกลงจากรถคันหรู
“เพลิน!”
พรึบ!
“อ๊ะ!” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสื้อคลุมตัวโคร่งของคาร์เตอร์ถูกคลุมลงตรงบ่าเล็กของฉันอีกครั้ง ด้วยฝีมือของเจ้าของเสื้อที่เดินตามฉันเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์
“ไม่ปลื้มชุดนี้เลยว่ะ” คาร์เอ่ยออกมาเสียงต่ำ ตวัดแขนขึ้นโอบไหล่เล็กของฉันเอาไว้หลวมๆ เมื่อเห็นว่าผู้ชายที่เดินสวนมาส่งยิ้มมาให้ฉัน
“ขาเป็นอะไรเพลิน ทำไม่เดินกะเผลกแบบนั้น” พี่วิทหยุดทักทายพร้อมกับชี้ลงมาที่เท้าบวมแดงของฉัน
“ข้อเท้าพะ...”
“รีบขึ้นห้องเถอะ ร้อน!!”ยังไม่ทันที่ทันจะตอบกลับเพื่อนบ้าน เสียงเข้มของคาร์เตอร์ก็แทรกขึ้นซะก่อนอย่างเสียมารยาท
“นายก็กลับไปซะสิ!!”
ฉันตวาดกลับคนตัวโตพลางดึงมือเขาออกจากไหล่เล็กของฉันไปด้วย แต่ไม่มีท่าทีว่าเขาจะปล่อยเลยสักนิด กลับเพิ่มแรงบีบตรงหัวไหล่ฉันแรงกว่าเดิมขึ้นไปอีก
“งั้นพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน” พี่วิทย์ยิ้มให้ฉันสลับกับคาร์เตอร์ ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกไปทั้งอย่างนั้นเลย จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรมากหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดว่าฉันเป็นอะไรกับนายนี่เฉยๆ
“จะตามมาทำไมอีก”
“...” คาร์เตอร์ไม่ตอบอะไรแต่เอื้อมมือไปกดลิฟต์หน้าตาเฉย ราวกับเขารู้ว่าฉันอยู่ชั้นไหน แขนอีกข้างก็ยังโอบฉันไว้ไม่ปล่อย
“พักชั้นไหน” เขาถามขึ้นในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขที่ระบุชั้นที่ลิฟต์ค้างอยู่
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรออกไปแต่ยืนกอดอกหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ระหว่างที่รอลิฟต์ลงมาจากชั้นที่เจ็ด รู้สึกแค่ว่ามันใช้เวลานานผิดปกติ
ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!ติ๊ด!
นิ้วสากยื่นเข้าไปกดปุ่มเครื่องหมายชี้ลงตรงแผงควบคุมลิฟต์ซ้ำๆ พร้อมสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อไม่มีทีท่าว่าลิฟต์จะเคลื่อนตัวลงมาเลย
“ลิฟต์ลงมาจากดาวอังคารรึไงวะ ช้าฉิบ” มือหนาเสยผมของตัวเองขึ้นอย่างหงุดหงิดเหมือนกับที่เขาเคยทำเป็นประจำเวลาที่เจออะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ พลางดันลิ้นตรงกระพุ้งแก้มมองตัวเลขที่ค้างอยู่อย่างไม่สบอารมณ์
“...” ฉันได้แต่ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาอารมณ์เสียกับลิฟต์ตัวเก่าของอพาร์ทเม้นท์นี่ไปก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปจากที่นี่สักที
“พ่อหนุ่ม รอจนพรุ่งนี้ลิฟต์ก็ไม่มีหรอก มันเสีย”
“ฮะ!”
“นี่ไง อาม่ากำลังจะเอาป้ายมาแปะ” อาม่าเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ยิ้มแห้งๆ ให้เราสองคน ก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษเอสี่ที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิกให้คาร์เตอร์
“ช่วยอาม่าแปะหน่อย”
“มาค่ะอาม่า เดี๋ยวเพลินช่วย” ฉันยื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นกับเทปกาวจากอาม่า แต่กลับถูกคาร์เตอร์ดึงกระดาษแผ่นนั้นไปถือไว้เอง
“เดี๋ยวติดให้” คนตัวโตทาบกระดาษที่เขียนคำว่า เสีย ลงบนประตูลิฟต์พร้อมกับแปะเทปกาวลงทั้งสี่มุมของกระดาษ ก่อนจะยื่นม้วนเทปกาวกลับให้อาม่าตามเดิม
“เรียบร้อยแล้วเพลินขอขึ้นห้องก่อนนะคะอาม่า”
“อ่า ขอบใจมาก ขอบใจ” อาม่ายิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรจากนั้นก็เดินแยกไปทางห้องพักของเธอ
“พักอยู่ชั้นไหน”
“...” ฉันเลี่ยงที่จะไม่ตอบกลับก้าวขึ้นบันไดเดินหนีคาร์เตอร์ แต่ก็เป็นไปด้วยยากลำบากตามประสาคนข้อเท้าแพลงและสายตาสั้นที่ไม่ได้สวมแว่นหรือคอลแทคเลนส์ แถมยังเจ็บแสบตรงกลางกายจนน้ำตาเล็ดทุกครั้งที่ขยับร่างกายอีก
“ถามว่าชั้นไหน” คาร์เตอร์คว้าแขนฉันเอาไว้แล้วก้าวขายาวๆข้ามขั้นบันไดมายืนดักฉันอยู่ตรงหน้า
“ยุ่งอะไรด้วย”
“เดินไหว”
“โอ๊ย!เรื่องของฉัน” แรงทั้งหมดถูกใช้สะบัดแขนที่เขาจับเอาไว้ออกตามแรงที่เหลือ แต่คาร์เตอร์กลับกระชากตัวฉันอย่างแรง จนเซถลาชนเข้ากับร่างกายของเขา ส่งผลให้ร่างกายที่ปวดระบมอยู่แล้วเพิ่มความเจ็บปวดเข้าไปอีก
“ขอโทษ ตกลงอยู่ชั้นไหนตอบดีๆ” คาร์เตอร์เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้
“ปล่อยก่อนคาร์เตอร์”
“...” เขาไม่ทำตามที่ฉันบอก แต่กลับถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไปกว่าเดิม “ชั้นไหนครับ”
“ขอทางด้วยค่า”
“เชิญครับ” คนตัวโตเบี่ยงตัวหลบคนที่พึ่งเดินลงมาจากบันไดอพาร์ทเม้นท์ ในขณะที่เขายังกอดฉันเอาไว้ไม่ปล่อย
“วัยรุ่นสมัยนี้ทำอะไรไม่อายนะเธอ”
“ฉันล่ะกลัวจริงๆ กลัวว่าลูกฉันจะทำตัวแบบนี้”
“ว่าไงครับตกลงชั้นไหน” คาร์เตอร์เลิกคิ้วถามอีกครั้งอย่างกวนๆ พร้อมกับจ้องลงมาที่ฉันที่ยืนอยู่ต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นบันได
“...” ฉันมองเขาสลับกับลูกบ้านคนอื่นอย่างกระอักกระอ่วนใจ ตอนนี้กำลังมองมาทางเราพลางกระซิบกระซาบ นินทาชนิดเผาขน จนฉันทนอายเอาไว้ไม่ไหวจำเป็นต้องบอกชั้นที่พักกับเขาไป “ชะ...ชั้นห้า ห้องห้าหนึ่งศูนย์”
“ก็เท่านั้น” คาร์เตอร์ยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ แขนแกร่งช้อนตัวอุ้มฉันขึ้นในท่าเจ้าสาว เดินก้าวขาขึ้นบันไดไปอย่างอารมณ์ดี แถมยังหันไปคุยกับลูกบ้านคนอื่นๆ ที่เดินสวนลงมาด้วย “ไม่มีอะไรครับ เมียผมแค่ไม่สบาย”
เพียะ!
“นี่!หุบปากเลยนะ” ฉันฟาดฝ่ามือหนักๆ ลงต้นแขนของคาร์เตอร์อย่างแรง ขมวดเรียวคิ้วใส่เขาอย่างไม่พอใจ
“ฮึ!” แต่คนตัวโตกลับขำออกมาหน้าตาเฉย พลางอุ้มฉันเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ
แม้ฉันจะมองผ่านสายตาได้ไม่ชัดแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ในขณะที่หัวใจดวงน้อยของฉันเองก็เผลอเต้นแรงไปกับคำพูดเมื่อสักครู่ของเขาอย่างห้ามไม่ได้
ภาพวันเวลาเก่าๆที่เราเคยทำร่วมกัน มันกำลังกลับมากัดกร่อนหัวใจที่ตั้งปฏิญาณเอาไว้แน่วแน่ ว่าจะลืมเขาให้ได้ในสักวัน แต่เหมือนตอนนี้หัวใจของฉันมันกำลัง กลับไปสู่จุดเริ่มต้น
จุดที่ฉันจำได้เพียงว่า ฉันรักคาร์เตอร์สุดหัวใจ ถ้าไม่ติดว่าครั้งหนึ่ง...หัวใจดวงนั้นถูกทำลายลงไปด้วยฝีมือของเขาเอง
'ถ้าแกไม่รักคาร์ตจนหูหนวก ตาบอด แกก็คงเห็นกับตาแล้วนะ ว่ามันไม่ได้มีแค่แกคนเดียว'
'อะ..อืม ฉันเห็นแล้ว เต็มสี่ตาเลย'
'ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะฝน ว่าไอ้เลวคาร์ตมันจะกล้านอกใจเพลินตาได้'
'แกก็เห็นแล้วนี่พู่กัน ที่เหลือก็คือต้องช่วยกันปลอบใจเพื่อนเราแล้วล่ะ'
ดวงตากลมโตใต้แว่นสายตาสั้นมองผ่านนักท่องราตรีที่กำลังวาดลวดลายไปกับเพลงEDM ในผับดัง จ้องมองไปยังชายหญิงคู่หนึ่ง ที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม ท่ามกลางเสียงร้องโห่แซวอย่างสนุกสนานของนักดื่มร่วมโต๊ะ
แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเรื่องในค่ำคืนนั้น ซึ่งมันช่วยให้ฉันตัดสินใจทำอะไรบางอย่างได้ง่ายขึ้น