“ออมไม่ไปค่ะ ถ้าพ่ออยากเรียนที่นั่นมากนักพ่อก็ไปเรียนเองสิ มาบังคับออมทำไม!”
เสียงที่ดังขึ้นในระดับสูงทำให้ผู้ถูกตะคอกรีบลุกพรวดจากโซฟาสีแดงขึ้นมาชี้หน้าคาดโทษลูกสาวด้วยมือที่สั่นไหวอันเกิดจากความโกรธ
“ออมสิน! อย่ามาขึ้นเสียงใส่พ่อนะ”
ฉันเม้มปากเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษ พร้อมกับเบือนหน้าหลบและทำทีจะเดินหนี แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“ไม่ต้องมาเดินหนีฉันด้วย เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ดูเหมือนว่าสงครามจะไม่จบลงง่าย ๆ จนกว่าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวจะได้คำตอบตามที่เขาต้องการ
“แกจะไปเรียนที่อื่นให้เสียชื่อทำไม มหาลัยในเครือเราก็มีออกจะใหญ่โต ถ้าแกไปเรียนที่อื่นแล้วคนนอกรู้เข้าเขาจะมองมหาลัยเรายังไง เขาจะไม่ตั้งแง่เหรอว่ามหาลัยเราไม่มีคุณภาพ ฉันถึงได้ส่งลูกสาวไปเรียนที่อื่น”
“ก็ช่างหัวคนอื่นสิพ่อ พ่อจะแคร์คนอื่นทำไมนักหนา”
ฉันผ่อนลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างปลงตก เราเถียงกันเรื่องนี้ตั้งแต่ใกล้จะเรียนจบม.ปลาย จนตอนนี้ได้เวลาเลือกมหาวิทยาลัยแล้ว ยังตกลงกันไม่ได้เลย
“ก็ต้องแคร์สิ อย่าลืมนะว่าตระกูลเรามีหน้ามีตาแค่ไหน”
เหอะ... เขาก็ห่วงแค่หน้าตาของวงศ์ตระกูล แต่ไม่เคยจะห่วงความรู้สึกของฉันเลย ไม่เลยสักครั้ง
“ก็ได้ค่ะ”
ฉันเอ่ยอย่างใจเย็น เบื่อกับปัญหานี้เต็มทนจึงต้องยอมถอยให้กับเขา แต่ก็เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
“หนูเรียนมหาลัยที่พ่อต้องการก็ได้ แต่หนูไม่ขอเรียนบริหารนะ”
“ไม่เรียนบริหาร แล้วจะไปเรียนอะไร?”
เอาจริงไม่เคยคิดคณะสำรองเอาไว้ พอต้องมาคิดกะทันหันจึงต้องสุ่มไปมั่ว ๆ ก่อน
“เป็นครูก็ได้ ครูภาษาอังกฤษ”
“เหอะ ครูเหรอ น้ำหน้าอย่างแกจะไปสอนใครได้ แกเลิกทำตัวมีปัญหาสักที แค่นี้ปัญหาที่บริษัทก็ทำฉันปวดหัวจะแย่ บริษัทจะเจ๊งวันไหนยังไม่รู้เลย ตอนนี้มีโอกาสเรียนก็เรียน ๆ ไป”
ฉันเตรียมจะอ้าปากเถียง แต่เห็นอาการของพ่อไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จึงยอมหยุดต่อปากต่อคำ
พ่อเริ่มสีหน้าไม่สู้ดี เขายกมือขึ้นมากุมขมับก่อนจะเซไปนั่งลงที่โซฟาตามเดิมพร้อมกับสะบัดหัวซ้ำ ๆ
“พ่อเป็นไรอะ”
ฉันเตรียมจะเข้าไปดูอาการใกล้ ๆ แต่กลับถูกเขาปัดมือไล่ให้ขึ้นไปบนห้องอย่างหงุดหงิด
“จะไปไหนก็ไปไป ยิ่งเห็นหน้าแกฉันยิ่งปวดหัว”
อุตส่าห์เป็นห่วง ยังจะมาไล่อีก
ในตอนแรกฉันก็กะว่าจะดื้อดึงยืนดูอาการเขาสักหน่อย แต่เห็นว่ามีแม่บ้านอยู่ในบริเวณนี้จึงยอมเดินขึ้นมาบนห้อง
ทันทีที่ประตูปิดสนิท ฉันก็รีบควานหาโทรศัพท์แล้วหยิบออกมากดโทรหาเบอร์ประจำ รอสายเพียงไม่นานอีกฝั่งก็กดรับ
(ว่าไงออม)
“เฮ้ออ”
ฉันไม่ต้องเอ่ยคำใด เพียงแค่ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างปลงตกพลางเอนตัวลงเตียงนอนแล้วหลับตาพริ้ม เพียงเท่านี้คนปลายสายก็รู้เรื่องราวทั้งหมดราวกับนั่งฌานดู
(ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอ)
“แหมม รู้อย่างกับมีตาวิเศษเลยนะคะพี่อลัน”
ฉันเอ่ยแซวพี่ชายด้วยความสนิทสนม ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมานั่งระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจยาวเหยียด
“ก็พ่อน่ะสิคะ ไม่ฟังอะไร มีแต่จะรั้นให้ออมเรียนมหาลัยที่แกเลือกให้อยู่ท่าเดียว พอออมยอมทำตาม แต่เลือกสาขาอื่น พ่อก็ดันไม่ยอมอีก บอกว่าต้องเป็นคณะบริหารเท่านั้น พ่อพี่อลันนี่เอาแต่ใจสุด ๆ เลยนะคะ พอออมจะอ้าปากเถียงก็ดันหงายหลังล้มใส่โซฟาไปซะงั้น”
(ฮะ! นี่พ่อเป็นลมอีกแล้วเหรอ เรียกรถพยาบาลยัง พี่จะไปเดี๋ยวนี้)
น้ำเสียงที่เรียบเฉยในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจจนฉันเองก็ตั้งรับไม่ทัน
“พี่อลันคะ พี่อลัน ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ คือพ่อเขาแค่หน้ามืดเฉย ๆ มีแม่บ้านคอยดูแลอยู่ แต่ออมแค่พูดเวอร์ให้มันดูอลังการเท่านั้นเองค่ะ”
(โธ่! ออม พี่ตกใจหมด)
เสียงพรูลมหายใจดังแว่วออกมา เพื่อแสดงออกว่าเขาไม่ได้พูดไปเกินกว่าที่รู้สึกเลย
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะคะ”
พี่อลันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น
(คือช่วงนี้บริษัทเรามีปัญหานิดหน่อย เอ่อ... ก็ไม่หน่อยหรอก หนักเลย ทีนี้พ่อเขาก็เลยเครียดจนทำให้เขาป่วย ตอนออมไปติวหนังสือกับเพื่อนพ่อก็เป็นลมเข้าโรงพยาบาลไปรอบหนึ่งแล้วนะ นอนพักอยู่สองคืนเลยละ)
“ฮะ! จริงเหรอคะ แล้วทำไมออมไม่รู้เรื่องนี้เลย”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่มีใครคิดจะเล่าให้ฉันฟังบ้างเลยเหรอ
(พ่อเขาสั่งห้ามน่ะ ออมกำลังอยู่ในช่วงติวเข้ม พ่อเขาไม่อยากให้ออมเป็นห่วง)
ถึงเหตุผลจะฟังขึ้น แต่ก็ไม่ควรอยู่ดี ถ้าฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่สบายหนัก ฉันก็คงเพลา ๆ ความเอาแต่ใจลงบ้าง ไม่ยืนต่อล้อต่อเถียงให้อาการเขาทรุดลงหนักแบบนี้หรอก
(ตั้งแต่ออมเกิดมาพี่ไม่เคยขัดใจอะไรออมเลยนะ ออมอยากได้อะไรพี่ก็ตามใจทุกอย่าง แต่กับเรื่องนี้พี่ขอได้ไหม? ถือว่าเห็นแก่พ่อแล้วกัน)
จากที่มั่นใจและคัดค้านหัวชนฝา ในตอนนี้ฉันกลับลังเลอย่างหนัก แถมยังเอียงไปฝั่งยอมแพ้ด้วยซ้ำ หากเป็นพ่อที่เอ่ยขอกันตรง ๆ ฉันก็คงไม่ยอมให้ แต่พอเป็นพี่อลันที่ไม่เคยขัดใจอะไรฉันสักอย่าง ฉันจึงยอมใจอ่อนแต่โดยดี
(เป็นเพราะเรสใช่ไหม ออมถึงไม่อยากไปเรียนที่นั่น)
“...”
ใจฉันกระตุกวูบอย่างเจ็บหน่วง เมื่อได้ยินชื่อผู้ชายคนนี้อีกครั้ง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่มีใครเอ่ยถึงชื่อเขา ถ้าจำไม่ผิดคงตั้งแต่... ที่เราเลิกกัน
“อย่าพูดถึงชื่อมันค่ะ ออมจะอ้วก”
(โอเค ๆ สรุปแล้วเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ใช่ไหม ออมถึงไม่อยากไป)
“ค่ะ”
ฉันตอบกลับเสียงเบา ไม่อยากถูกอีกฝ่ายมองว่าไร้สาระเลย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็มันยังเจ็บไม่หายเลยนี่ แผลที่เขาทำเอาไว้ยังคงเปิดปากอ้าไม่ยอมปิด และทุกครั้งที่เห็นอะไรเกี่ยวกับเขา มันก็เหมือนกับถูกน้ำเกลือสาดเข้าแผลอย่างไม่ปรานี
(ปีหนึ่งกับปีสองไม่ค่อยได้เจอกันหรอก เจอแค่ช่วงแรก ส่วนมากก็เจอแค่พี่ว้าก แล้วก็เจอแค่ช่วงงานสาขาซึ่งไม่ได้จัดบ่อย ๆ อีกอย่างนะ คนตั้งเยอะ โอกาสที่จะเจอกันก็น้อยมาก ๆ เลย)
“เฮ้ออ ถ้าออมเผลอแทงใครตายพี่ก็อย่าลืมซื้อซูชิไปฝากออมในคุกด้วยนะคะ”
ว่าแล้วก็ทิ้งหัวลงเตียงนอนอีกครั้ง พร้อมกับทำหน้ากล้ำกลืนที่ต้องยอมรับกับชะตาที่เลี่ยงไม่ได้
(หึ ๆ จัดซูชิเซตใหญ่พร้อมไก่สไปซี่ให้ทุกวันเลย)
พี่อลันตอบกลับราวกับเป็นเรื่องตลก แต่อีกใจก็คงโล่งอกที่ฉันยอมพ่ายแพ้ให้กับสงครามในครั้งนี้
ยอมให้เพราะเห็นแก่พ่อหรอกนะ ไม่งั้นชาตินี้ทั้งชาติ แกจะไม่มีวาสนาได้เจอหน้าฉันอีกแน่นอน ไอ้พี่เรส!