รถเก๋งสีแดงคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างหน้าตึกคณะ ก่อนขาเรียวยาวจะก้าวออกมาอย่างมั่นใจ กระโปรงทรงเอที่สั้นระดับเลยหัวเข่าขึ้นมาหนึ่งคืบ เข้ากับเสื้อนักศึกษาตัวสีขาวขนาดพอดีตัว เว้นเสียแต่ช่วงอกที่คับแน่นจนกระดุมแทบปริ
เพียงรองเท้าส้นสูงก้าวหยั่งพื้น ทุกสายตาต่างหันมามองอย่างให้ความสนใจ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ชายที่จับกลุ่มกันลงทะเบียนสำหรับนักศึกษาใหม่
ฉันก้าวเดินออกไปด้วยความมั่นใจโดยไม่ทันระวัง จนเผลอไปชนเข้ากับใครบางคน เป็นเหตุให้แฟ้มเอกสารของเธอร่วงไปกองอยู่ที่พื้น
“ขอโทษค่ะ ๆ”
เสียงใส ๆ รีบเอ่ยอย่างเกรงใจ ทั้งที่ตัวฉันเองเป็นคนเดินเข้าไปชนเธอก่อน
“ขอโทษเหมือนกันนะ”
ฉันออกปากขอโทษบ้าง พลางจ้องสำรวจหญิงสาวที่หุ่นผอมบางใกล้เคียงกัน แค่เธอตัวเล็กกว่าฉันอยู่เพียงนิดเดียว ใบหน้าจิ้มลิ้มดูใสซื่อไม่ทันคน ยิ่งสวมใส่กระโปรงทรงพีทยาวแทบจะลากพื้นและแว่นตาที่หนาเตอะยิ่งกว่าพระไตรปิฎกฉันก็ยิ่งรู้สึกห่วง ยัยนี่ต้องเป็นเด็กต่างจังหวัดแหง ๆ เลย
“มาสมัครเรียนเหมือนกันเหรอ?”
“อื้อ เรามาสมัครคณะบริหารน่ะ แล้วเธอล่ะ”
อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมทั้งรอยยิ้มประดับหน้า
“เหมือนกันเลย ฉันชื่อออมสินนะ แล้วแกล่ะ”
“เราชื่อก้านตอง”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอางแม้แต่ขนคิ้ว แต่น่าแปลกที่ใบหน้าสะสวยของเธอกลับดึงดูดสายตาฉันได้ชะงัด ทั้งรอยยิ้มและท่าทางที่ดูจริงใจ มันทำให้ฉันถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น หวังว่ายัยนี่จะเป็นมิตรภาพที่ดีระหว่างเรียนนะ
“งั้นไปพร้อมกันไหม ตึกบริหารอยู่ตรงนั้น”
“อ๋อ ตรงนี้เองเหรอ เดินวนอยู่สามรอบแล้ว”
เธอเงยหน้าขึ้นมองพลางขยับแว่นเพื่อจะได้ดูป้ายตึกถนัดตายิ่งขึ้น
“แล้วหอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ย”
“ไม่รู้ว่าต้องเอาอะไรมาบ้างอะ ฉันเลยขนมาหมดเลย”
“มา ๆ เดี๋ยวช่วยถือ”
ว่าแล้วก็คว้าเอาซองเอกสารจากมือของเธอมาถือไว้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจแต่ก็ไม่เป็นผล
เราทั้งคู่เดินเข้ามายังตึกบริหารก่อนจะเริ่มลงทะเบียนตามลำดับ และดูเหมือนว่ากล้องจากทั่วทิศจะเริ่มจับมายังจุดที่เราทั้งสองยืนอยู่อย่างให้ความสนใจ
“จะถ่ายอะไรเยอะแยะเนี่ย”
ฉันบ่นอุบในขณะนั่งรอคิวยื่นเอกสาร ส่วนยัยก้านตองก็นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางหันไปยิ้มให้กล้องตามประสาคนมารยาทดี
“เขาแอบถ่ายเราไปทำไมเหรอ”
คำถามซื่อ ๆ ออกมาจากปากของคนข้างกัน
“ก็เอาไปลงเพจน่ะสิ บางคนหน้าตาดีเตะตาแมวมองก็ได้เป็นดาราเลยนะ”
อย่างไอ้พี่เรสก็มีคนเคยมาชักชวนเข้าวงการอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพราะความฮอตที่เตะตาตั้งแต่วันสมัครเรียนแบบนี้แหละ จะว่าไปแล้วก็โชคดีเหมือนกันแฮะที่วันนี้ไม่เจอหน้ามัน เพราะถ้าต้องเจอกันจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าต้องซมซานกลับไปเลียแผลใจอีกหรือเปล่า
“ดาราเลยเหรอ ดีจัง ฉันว่าอีกหน่อยต้องมีแมวมองมาเล็งแกแน่ ๆ”
“ไม่เอาอะ ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย แกก็เป็นได้นะ ถ้าแก เอิ่ม...”
ฉันเริ่มสำรวจคนข้างกันแล้ววิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาตามประสาคนปากไว
“หั่นกระโปรงลงหน่อย แต่งหน้าบ้าง เสื้อเล็กลงอีกนิด ถอดแว่นออก แค่นี้ก็สวยบาดตาแมวมองแล้ว”
“ไม่เอาหรอก ขืนฉันเป็นดาราแล้วมีบทจูบกับผู้ชาย พ่อได้ตีตายห่าพอดี”
“...”
ประโยคสุดท้ายทำฉันนิ่งชะงักไปด้วยความแปลกใจ ยัยนี่พูดคำว่าตายห่างั้นเหรอ? ดูไม่เข้ากับลุคเท่าไหร่เลยแฮะ
“ศิรจารีย์”
เสียงเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนตะโกนเรียกชื่อคนข้าง ๆ เธอจึงรีบลุกขึ้นไปกรอกเอกสารทุกอย่างให้เสร็จสรรพ รอเพียงไม่นานก็ถึงคิวฉันไปยื่นเอกสารบ้าง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
ตอนนี้ก็ได้เวลาพักเที่ยงพอดี ฉันเลยถือโอกาสนี้ชวนยัยตองไปกินข้าวกระชับมิตรกันสักหน่อย ตอนแรกฉันก็แอบรู้สึกห่วงที่ยัยนี่ดูใสซื่อไม่ทันคน แต่เพียงแค่ได้รู้จักก็เริ่มรู้สึกว่าคิดผิด
ยัยนี่ค่อนข้างที่จะรวดเร็วคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน ขี้เกรงใจ แต่ตรงไป
ตรงมา ไม่ใช่ยัยติ๋มเงอะงะที่ปล่อยโก๊ะจนน่าห่วงอย่างที่เป็นกังวล
“ทำไมต้องใส่แว่นอะ”
ฉันเอ่ยถามพลางยกน้ำในแก้วขึ้นดื่มระหว่างรอพนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ
“สายตาสั้นน่ะ”
“ถ้าถอดแล้วมันเบลอเลยเหรอ ทำเลสิกไหม เดี๋ยวออกตังค์ให้”
“แคก ๆ”
คนตรงข้ามกันสำลักน้ำออกมาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนฉันต้องยื่นทิชชูให้
“ไม่เอาอะ เกรงใจ”
“เกรงใจทำไม เป็นเพื่อนกันแล้วฉันจ่ายให้ได้ จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตลำบากไง”
“ไม่เป็นไร ฉันใส่แว่นมาสิบกว่าปีแล้ว แค่นี้สบายมาก”
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะรีบคว้าโอกาสไว้ แต่ยัยนี่ไม่แม้แต่จะเก็บไปพิจารณา แปลกแฮะ เป็นคนยังไงกันแน่นะ
“แล้วแกมีแฟนยังอะ”
“ไม่มี แต่มีคนที่ชอบแล้ว เขาอยู่ปีสองคณะบริหารนี่แหละ”
“หือ? จริงปะ มาเรียนตามผู้ชายปะเนี่ย”
ฉันเอ่ยแซวเพื่อจับพิรุธ และแน่นอนว่าเธอมีอาการ เห็นหงิม ๆ ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย
“แล้วแกอะ มีแฟนยัง”
“เคยมี แต่เลิกไปนานแล้ว เพราะมันหัวฆวย”
พรวด!!
น้ำที่เพิ่งเข้าไปในปากยัยนั่นพ่นออกมาอย่างรวดเร็วจนเป็นละออง ดีนะที่เธอหันหน้าไปทางอื่น และเป็นโต๊ะที่ไม่มีคนนั่งด้วย
“กะ แกพูดตรงไปไหม”
“เอ้า ก็มันหัวฆวยจริง ๆ”
“ชูววว!”
คนทำหน้าตื่นรีบยกมือขึ้นมาทาบปากส่งสัญญาณให้ฉันเบาเสียง อยู่กับยัยนี่ก็ตลกดีเหมือนกันแฮะ ปกติฉันจะมีแต่เพื่อนไฮโซ แต่เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็หนีไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว ส่วนอีกคนก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละที่ ฉันเลยต้องนับหนึ่งในการคบเพื่อนใหม่
รู้สึกโชคดีเหมือนกันที่ได้รู้จักกับยัยก้านตองอะไรนี่ เพราะเธอดูไร้พิษสงและเข้าถึงได้ง่าย หวังว่าจะดีอย่างนี้ไปตลอดนะ
หลังจากกินข้าวกันเสร็จฉันก็เตรียมจะไปส่งยัยก้านตองที่หอพักเพราะเธอไม่มีรถ ทว่าเธอกลับปฏิเสธ เนื่องจากได้นัดรุ่นพี่ที่รู้จักออกมาหาที่ร้านเพื่อคุยธุระกัน ในตอนแรกฉันก็บอกจะรอ แต่ยัยนั่นคงเกรงใจและกลัวว่าจะนานด้วยจึงให้ฉันกลับไปก่อน และยังบอกด้วยว่าไม่ต้องห่วง เพราะรุ่นพี่คนนั้นจะไปส่งเธอที่หอเอง
“ขับรถดี ๆ นะแก”
“อืม เจอกันวันเปิดเรียนนะ”
ฉันโบกมือลาเพื่อนรักคนใหม่ล่าสุดก่อนจะเดินมาเตรียมเปิดประตูออกไปจากร้าน ทว่าประตูกลับถูกกระชากเปิดจากลูกค้าที่เข้ามาใหม่ และนี่คงเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สวรรค์เริ่มส่งบททดสอบมาเล่นกับใจของฉันในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
ชายร่างสูงโปร่งในชุดลำลองเสื้อยืดสีดำธรรมดา รับกับผมที่จัดทรงอย่างเข้าที่ ใบหน้าหล่อคมอย่างไร้จุดตำหนิ กำลังก้มมองมาที่ฉันด้วยสายตาตกตะลึงไม่แพ้กัน
ตึก ตึก ตึก...
ใจที่ด้านชาจนคิดว่าหยุดเต้นไปเกือบปี ในตอนนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่กลับเป็นจังหวะการเต้นที่เจ็บปวด และทรมานเหมือนคนกำลังจะหอบอากาศเข้าปอดในเฮือกสุดท้าย...
“พี่เรส ทางนี้ค่ะ”
เสียงใส ๆ จากยัยก้านตองตะโกนเรียก พร้อมทั้งโบกไม้โบกมือทักทายด้วยรอยยิ้ม การกระทำนี้กำลังผลักฉันลงสู่ก้นเหวแห่งความบอบช้ำอีกครั้ง ที่แท้รุ่นพี่ที่ยัยนี่พูดถึงก็คือไอ้พี่เรสงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าคนที่ยัยก้านตองบอกว่าชอบ และอยู่ปีสองคณะบริหารก็คือ...
ใจที่เต้นระส่ำหล่นวูบลงไปกองที่เท้ายามคนร่างสูงเดินผ่านหน้าไปอย่างไม่แยแส ไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย หรือพูดอะไรออกมาสักอย่าง จริงสิ แล้วเราควรจะพูดอะไรกันล่ะ ในเมื่อเรื่องของเรามันจบลงไปแล้ว และจบลงไม่ดีสักเท่าไหร่
“รอนานไหมน้องก้านตอง”
“ไม่นานเลยค่ะ”
คนบนโต๊ะเริ่มพูดคุยกันอย่างสนิทสนม และแน่นอนว่าฉันไม่อาจทนรับฟังและยืนดูภาพบาดตาได้ จึงรีบผลักประตูแล้วเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาขึ้นรถ ทั้งที่มือไม้ยังสั่นไหวด้วยความโกรธระคนความเจ็บหน่วง
“ต้องหนีไปไหนถึงจะพ้นจากแกได้วะไอ้พี่เรส!”
กระเป๋าหลุยส์คอลเลกชันล่าสุดถูกเหวี่ยงไปยังเบาะข้าง ๆ ด้วยอาการฉุนเฉียว กำปั้นแน่น ๆ ฟาดลงพวงมาลัยเพื่อระบายอารมณ์จนปวดหนึบ
ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็งมาตลอด สร้างเกราะป้องกันหัวใจตัวเองอย่างแน่นหนา แต่พอเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว ความพยายามทั้งหมดกลับสูญเปล่าไปเสียได้
ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ พลางยกมือขึ้นมาลูบต้นแขนตัวเองเบา ๆ เพื่อปลอบใจ แม้ว่าตอนนี้น้ำตาจะเริ่มเอ่อคลอจนแทบร่วงลงมา
“ไม่เป็นไรออม ไม่เป็นไรนะ”
ฉันใช้เวลากับตัวเองอยู่บนรถจนเริ่มใจเย็นลง จึงเตรียมจะขับรถกลับบ้าน ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นรถเก๋งคันหรูที่จอดอยู่ข้างหน้า พอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีรถคันไหนจะหรูหราและมีระดับได้เท่ากับรถคันนี้อีกแล้ว และแน่นอน ว่ามันต้องเป็นรถของไอ้พี่เรส
“เอาคืนพ่อมันไม่ได้ ก็เอาคืนลูกมันแล้วกัน”
แววตาชั่วร้ายเผยออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ก่อนที่ฉันจะเริ่มสตาร์ตรถพร้อมกับจ้องเขม็งที่รถตรงหน้าอย่างเคียดแค้น รอเพียงอึดใจเดียวคันเร่งก็ถูกเหยียบ เป็นเหตุให้รถสีแดงพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ชนเข้ากับท้ายรถเก๋งสีดำเสียงดังสนั่น
โครม!
ทันทีที่ความเสียหายได้ก่อตัวขึ้น ฉันก็รีบถอยรถออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวออกไปจากเขตร้านโดยที่สภาพหน้ารถไม่ค่อยจะสู้ดี
ถ้าจะพัง ก็ให้มันพังกันทั้งคู่ละวะ!
*** ฝากเรื่อง ก้านตองอย่าลองดีด้วยนะคะ เป็นคู่ของยัยก้านตองกับพี่ไทน์ เรื่องนี้ลงจบแล้วค่าา***