“แกเอารถไปชนอะไรมา ทำไมสภาพมันถึงได้เละขนาดนี้ฮะ!”
ทันทีที่ล้อรถเลี้ยวเข้าบ้าน คนเป็นพ่อที่เพิ่งมาถึงในจังหวะเดียวกันก็รีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“เอ่อ... ชนขอบฟุตบาทหน้ามอน่ะพ่อ”
“แล้วไปขับอีท่าไหนฮะ ถึงได้เยินขนาดนี้”
ชายวัยกลางคนเดินสำรวจหน้ารถอย่างพิจารณา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามฉันอย่างไม่ไว้วางใจ
“ขอบฟุตบาทอะไรจะสูงขนาดนี้ แกตอบมาดี ๆ ว่าไปชนอะไรมา”
ก่อนหน้านี้ไปเจอเรื่องที่หนักมาอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอพ่อตามจับผิดอีกเหรอเนี่ย
“อย่าบอกนะว่าแกไปชนรถของใครเข้า แล้วเจ้าของรถเป็นยังไงบ้าง เขาบาดเจ็บไหม แล้วมีใครตายหรือเปล่า”
“พ่อ! มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ออมขับไปชนขอบฟุตบาท แต่รถมันไม่หยุด เลยไถลไปชนขอบกระถางต้นไม้ที่หน้าร้านค้าแถวนั้นแหละ แต่จ่ายค่าเสียหายไปแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
ฉันเตรียมจะหมุนตัวเข้าบ้าน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
“ไม่ห่วงได้ไง ขับรถออกไปวันเดียวรถพัง นี่แกคิดว่ารถคันนี้มันถูก ๆ งั้นเหรอ?”
“สรุปที่ยืนบ่นอยู่เนี่ย พ่อห่วงลูกหรือห่วงรถกันแน่”
จากที่ฟัง ๆ ดู เหมือนจะเอนเอียงไปฝั่งข้อสองเสียมากกว่า ทำไมเขาต้องพูดราวกับเป็นเรื่องยากด้วย ในเมื่อรถคันนี้ก็ออกมาปีกว่าแล้ว ตามจริงต้องถึงคราวออกรถคันใหม่ให้ฉันได้แล้วด้วยซ้ำ
พักหลัง ๆ ดูเขาเป็นเดือดเป็นร้อนกับการเงินอย่างผิดสังเกต ทั้งที่เขาเองแท้ ๆ ที่เป็นคนสั่งสอนให้ฉันใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมาตั้งแต่เด็ก
“ก็ห่วงมันทั้งสองนั่นแหละ เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปฉันขอสั่งห้ามไม่ให้แกขับรถอีก”
“ได้ไงอะพ่อ แล้วออมจะไปเรียนยังไง”
“คนขับรถที่บ้านก็มี ให้เขาไปส่งสิ ถึงเวลาก็โทรมา เขาจะได้ไปรับ”
มันก็ไม่อิสระน่ะสิ บางทีเราก็ไม่ได้อยากไปแค่มหาวิทยาลัยแล้วกลับบ้าน แต่พักเที่ยงเรายังอยากกินข้าวหรือไปช็อปปิ้งเพื่อคลายเครียดด้วย
“ทำไมพ่อต้องชอบวางอำนาจแล้วเอาแต่สั่งออมตลอดเลย พ่อเครียดกับงานก็อย่าเอามาลงที่ออมสิ”
“แกก็พูดง่ายนี่ แกยังไม่โตพอที่จะรับความกดดันเหมือนฉันกับพี่ชายแก”
คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก แล้วเมื่อไหร่เขาจะมองว่าฉันโตพอ แต่ถึงแม้ฉันจะรู้สึกคันปากอยากเถียงใจแทบขาด ก็ต้องยอมกลืนก้อนคำพูดทั้งหมดลงคอไปจนหมดสิ้น ฉันไม่อยากสาดความเครียดใส่เขาไปมากกว่านี้ ถ้าเกิดอาการเขากำเริบหรือเป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวจะแย่กันไปใหญ่
“เฮ้ออ งั้นก็ตามใจพ่อแล้วกัน ยังไงออมก็ขัดอะไรพ่อไม่ได้อยู่แล้วนี่”
ฉันเอ่ยอย่างปลงตกก่อนจะเดินแยกขึ้นห้อง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่อลันเดินออกมาส่องดูสถานการณ์ เพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย
“ทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว”
พี่อลันมองพ่อกับฉันสลับกัน ก่อนที่จะเลือกเดินตามหลังฉันเข้ามาในห้อง
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ พ่อเขาเลยสั่งไม่ให้ออมขับรถอีก”
“ฮะ! แล้วออมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
คนร่างใหญ่รีบตรงเข้ามายกแขนฉันขึ้นเพื่อสำรวจด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ออมไม่เป็นอะไรค่ะ แต่รถนี่สิ”
“ช่างมันเถอะ รถก็แค่ของนอกกาย คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“แต่พ่อเขาไม่คิดอย่างงั้นน่ะสิคะพี่อลัน เขาห่วงรถเสียยิ่งกว่าออมอีก ไม่ถามสักคำว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ฉันมุ่ยหน้าอย่างเง้างอน ก่อนจะทิ้งก้นลงนั่งบนเตียงพลางยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างบึ้งตึง แอบรู้สึกน้อยใจผู้เป็นพ่อลึก ๆ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะเกิดเพราะความบันดาลโทสะล้วน ๆ ก็ตาม
“เขาก็คงห่วงแหละ แต่ปากหนัก ออมก็รู้นี่ว่าเขานิสัยเป็นยังไง”
พี่อลันเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมกับลูบหัวฉันแผ่วเบาเพื่อให้ใจเย็นลง
“งั้นเอางี้ไหม ช่วงนี้ออมก็เอารถคันเก่าพี่ไปขับก่อน”
“เดี๋ยวพ่อก็ว่าอีก”
“ออมก็ย้ายไปอยู่หอสิ พ่อจะได้ไม่รู้ เพื่อนพี่มันเปิดหอพักอยู่แถว ๆ มอ ห้องหรูเลย ออมไปพักที่นั่นก็ได้ แต่ถ้าจะไปก็ต้องไปวันนี้เลยนะ เพราะพรุ่งนี้เช้าพี่ต้องบินไปสิงคโปร์แล้ว เดี๋ยวไม่มีคนช่วยจัดของ”
ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่ต้องเทียวขับรถไกล ๆ บ้านกับมหาวิทยาลัยก็ห่างกันตั้งหลายกิโลเมตร
“แล้วพ่อจะยอมเหรอคะ”
“ยอมสิ เดี๋ยวพี่ไปบอกให้ว่าออมจะย้ายเข้าไปพักหอใน”
พี่อลันนี่รู้ใจน้องสาวที่สุดเลยย
“ขอบคุณนะคะพี่อลัน ตั้งแต่แม่เสีย พ่อก็เปลี่ยนไปเยอะเลย ถ้าไม่มีพี่อลันคอยอยู่ข้าง ๆ ออมต้องเป็นประสาทตายแน่ ๆ”
เขากลั้วขำราวกับเป็นเรื่องตลก ก่อนจะสั่งให้ฉันเก็บข้าวของ ส่วนเขาจะไปคุยกับพ่อเอง
โดยปกติแล้วพี่อลันเป็นคนใจเย็นมาก เพราะนิสัยคล้ายแม่ ต่างกับฉันที่ได้นิสัยพ่อมาเต็ม ๆ เราจึงมักมีปัญหาและปะทะฝีปากกันทุกครั้งเวลาที่ต้องเปิดประเด็นคุย
ฉันใช้เวลาเก็บของไม่นาน เพราะขนไปเท่าที่จำเป็น พอเก็บข้าวของเสร็จ พี่อลันก็ขึ้นมาตามพอดี
“ไปกันเถอะ”
“พ่ออนุญาตแล้วเหรอคะ!”
เขาไม่เอ่ยตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ตอบรับ
“พี่อลันโคตรเจ๋งเลยย ถ้าออมไปขอเองมีหวังบ้านแตกแน่”
“หึ ๆ อย่ามัวแต่พูดสิ เดี๋ยวก็ค่ำมืดเสียก่อน เราต้องไปจัดของกันอีกนะ”
“รับทราบค่ะ!”
พี่อลันสั่งให้แม่บ้านขึ้นมาช่วยลากกระเป๋าขึ้นบนรถ จากนั้นก็รีบพาฉันบึ่งตรงมายังหอพักทันที ระหว่างทางฉันก็เอาแต่จ้องสำรวจไปบริเวณรอบ ๆ มหาวิทยาลัยที่คุ้นตา จำได้แม่นว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเดินทางมาที่นี่บ่อยแค่ไหน
ในช่วงแรกที่ไอ้พี่เรสเปิดเทอมใหม่ ๆ และมีกิจกรรมเข้ามาทุกวัน ฉันจึงต้องเป็นฝ่ายนั่งรถแท็กซี่เข้ามาหาเขา ช่วงนั้นทุกอย่างมันดีมาก เขาเปิดตัวฉันให้ทุกคนรับรู้อย่างไม่ปกปิด ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางนี้เราก็เคยมานั่งกินด้วยกันตอนตีหนึ่ง ขับรถผ่านสะพานก็เห็นภาพเราเดินถ่ายรูปเล่น ทุกความทรงจำเริ่มย้อนกลับเข้ามาในหัวเพื่อทำร้ายฉันซ้ำ ๆ แม้ว่าใจจะแหลกละเอียดไปแล้ว
ทั้งที่เราเคยรักกันมากขนาดนั้น แล้วมันผิดพลาดไปตอนไหนนะ อะไรที่ทำให้คนที่เคยสาบานว่าจะไม่นอกใจกล้าที่จะแทงข้างหลังฉันได้อย่างเลือดเย็น แทงข้างหลังฉัน... จนสุดด้ามมีด
“เป็นอะไรไป เหม่ออีกแล้ว”
คนหน้าพวงมาลัยหันมามองฉันเพียงครู่เดียว แล้วหันกลับไปสนใจที่ถนนต่อ
“วันนี้ออมบังเอิญเจอเขาค่ะ”
ฉันเอ่ยเสียงเรียบ ทั้งที่สายตายังจ้องมองไปยังด้านนอกรถด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว
“หมายถึง... คนนั้นเหรอ”
พี่อลันเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงชื่อเขา แต่เป็นว่าเราเข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อ
“ค่ะ”
“แล้วได้คุยอะไรกันไหม”
คนข้างกันเอ่ยถามเสียงเรียบในระดับเดียวกัน ไม่ได้มีทีท่าตกใจกับสิ่งที่ฉันบอก
“ไม่ค่ะ... เขามองผ่านออมไปราวกับอากาศ ใจร้ายจังเลย”
“ในอนาคตออมก็จะมองเขาเป็นอากาศได้เหมือนกัน”
“จริงเหรอคะ ออมจะทำแบบนั้นได้จริง ๆ ใช่ไหม”
ความเจ็บที่ชัดเจนในวันนี้ ทำให้ความหวังริบหรี่ที่จะลืมเขามอดดับลงอีกครั้ง ทำไมโลกต้องเหวี่ยงให้เรากลับมาเจอกันอีกด้วย ทำไมถึงได้เล่นสนุกกับความรู้สึกของฉันนัก
“จริงสิ น้องสาวพี่เก่งจะตาย”
มือหนาเอื้อมมาลูบหัวแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม แต่สายตาที่เพ่งมองกรุ่นไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงอย่างจับใจ ฉันไม่น่าเผยความอ่อนแอให้เขาเห็นเลย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ มันฝืนไปมากกว่านี้ไม่ไหวจริง ๆ