(อยู่ได้แน่นะ)
แจ้งเตือนโทรศัพท์เด้งเข้ามาในจังหวะที่ฉันเตรียมจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อลงไปหาอะไรกินในช่วงเย็น
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ แค่นี้สบายมาก”
ฉันตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย หลังจากที่ทดลองนอนในหอพักอยู่สามคืน ทุกอย่างปกติ หอพักที่นี่สงบมาก เพราะมีแต่พวกผู้ดี สมกับที่เป็นหอพักของเพื่อนพี่อลัน
(โอเค ลงไปกินข้าวเถอะ อย่าลืมล็อกห้องด้วย ส่วนรถพี่ยังเอาไปให้ไม่ได้นะ เพราะพ่อจับตาดูอยู่ รอสัก 3-4 วันพี่ถึงจะเอาไปให้)
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันพิมพ์ตอบกลับสั้น ๆ แล้วเตรียมจะยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋า ทว่ามันกลับสั่นไหวเพราะมีใครบางคนโทรเข้ามา และใครบางคนคนนั้น ก็ทำให้ฉันลังเลที่จะรับสาย
ฉันไม่อยากเป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนี้เลย แต่เราจะเป็นเพื่อนกับแฟนใหม่ของแฟนเก่าได้จริง ๆ เหรอ ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะยังไม่ทันได้เป็นอะไรกัน แต่อีกไม่นาน... พวกเขาต้องคบกันแน่
ฉันพรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะตัดสินใจกดรับแล้วนำโทรศัพท์ขึ้นมาแนบใส่ข้างใบหู
(ฮัลโหลออม)
“อื้อ ว่าไง”
ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบ แววตานิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาทั้งสิ้น
(พรุ่งนี้มีรับน้องช่วงค่ำด้วย แกอย่าลืมเอาป้ายชื่อไปด้วยนะ)
เสียงใส ๆ เอ่ยบอก ในขณะที่มีเสียงเปิดน้ำแทรกเข้ามาในสายด้วย ยัยนั่นคงจะกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในห้องน้ำ
“เค พรุ่งนี้ฉันไม่ได้ไปรับนะ รถพังอะ”
(อ๋อ ได้ ๆ ไม่มีปัญหา)
“แค่นี้ก่อนนะแก จะลงไปกินข้าวแล้ว”
พอยัยนั่นตอบรับกลับมา ฉันก็รีบกดวางสายทันที ฉันไม่อยากเป็นคนนิสัยไม่ดีที่เอาแต่ระรานคนอื่นไปทั่วเลย ยิ่งเป็นกับยัยก้านตองนี้แล้วฉันยิ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แอบสงสารด้วยซ้ำหากยัยนั่นจะตกลงปลงใจคบกับไอ้พี่เรสจริง ๆ
คนซื่อ ๆ แบบนั้นไม่มีทางทันเหลี่ยมจู๋งูเหลือมแบบไอ้พี่เรสได้แน่
คิดแล้วก็พาลหงุดหงิดไปเปล่า ๆ ฉันจึงสะบัดหน้าไล่ความคิดก่อนจะเดินออกมาจากห้อง และไม่ลืมที่จะล็อกประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา
ใต้หอพักของฉันเต็มไปด้วยร้านอาหารหลายประเภท ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น และอาหารจีน แต่ฉันดันอยากกินเพียงแค่เส้นมาม่าที่ราดด้วยน้ำก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ เท่านั้น เลยต้องเดินออกมาไกลหน่อย และโชคดีที่มีโต๊ะว่างอยู่หนึ่งตัว
“เอาอะไรจ๊ะคนสวย”
พ่อค้าที่กำลังง่วนอยู่กับการซอยต้นหอมหันมาถามเพียงครู่เดียว แล้วหันกลับไปสนใจกับต้นหอมในมือต่อ
“มาม่าหมูน้ำตกค่ะ”
“ได้เลยจ้ะ รอแป๊บนะ อีกสามคิว”
ฉันยิ้มบาง ๆ ตอบรับ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น นั่งรออยู่สักพักก็มีเด็กผู้ชายประมาณม.ต้นเดินถือน้ำมาเสิร์ฟ
“น้ำครับ”
“ขอบใจนะ”
ฉันรับน้ำขึ้นมาดื่มในขณะที่เลื่อนหน้าจออย่างตั้งใจ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ร่วมโต๊ะด้วย และที่น่าตกใจไปยิ่งกว่านั้นคือมันดันเป็นคนที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“ไอ้พี่เรส!”
ฉันแทบจะขยี้ตาตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดมากจนหลอนไปเอง เพราะนี่มันร้านอาหารริมทาง อย่างไอ้พี่เรสเนี่ยนะจะมากินที่ร้านนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“ถ้าจะเรียกไอ้เต็มปากขนาดนั้น ก็ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะ”
“ได้เหรอ งั้นเรียกไอ้เหี้ยเรสได้ปะ”
ฉันยิ้มเยาะถามอย่างอวดดี แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มลงเมื่ออีกฝ่ายจ้องเขม็งแล้วเอ่ยเสียงโทนต่ำ
“รู้ไหมว่าฉันจัดการกับไอ้พวกเด็กปีนเกลียวยังไง เธอคงไม่อยากโดนหรอก ถูกไหม?”
ฉันหลบสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ชอบเลยเวลาที่อีกฝ่ายดุ ทั้งที่ฉันไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต้องเกรงใจเขาอีกแล้ว
“ไอ้หมอนั่นไปไหนแล้วล่ะ มันไม่ติดสอยห้อยตามมาเรียนด้วยเหรอ”
สรุปว่าที่เขาจอดรถและเลี้ยวเข้ามา คงเป็นเพราะมองเห็นฉันนั่งหัวโด่อยู่ในร้าน เลยรีบเข้ามาพูดจาเหน็บแนมประชดประชันสินะ
“ธุระอะไรของพี่ล่ะ เขาจะตามมาหรือไม่ตามมา มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาอยู่แล้ว”
“แล้วเธอล่ะ? ตามฉันมาเรียนทำไม”
“ตาม? ออมเนี่ยนะตามพี่มาเรียน กระจกบานไหนที่มันทำให้พี่หลงตัวเองได้ขนาดนี้ก็ทุบมันทิ้งเถอะ เผื่อว่าพี่จะมองชีวิตในความเป็นจริงได้บ้าง”
ฉันต่อปากต่อคำอย่างไม่เกรงกลัว และมั่นใจด้วยว่าผู้ชายตรงหน้าจะไม่มีวันทำอะไรฉันอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะป่าเถื่อนมากก็ตาม
“มาม่าหมูน้ำตกได้แล้วครับ”
ขณะที่เรากำลังสาดอารมณ์ใส่กันอยู่ เด็กเสิร์ฟคนเดิมก็ถือชามมาม่ามาวางลงบนโต๊ะให้ ฉันจึงรีบควานหาเงินในกระเป๋าสีดำที่สะพายมาแล้วยื่นให้กับเขา
“ไม่ต้องทอนนะ”
ฉันบอกแค่นั้นแล้วเตรียมจะลุก ทว่ากลับถูกสบประมาทจนต้องหยุดชะงัก
“นิสัยคนรวยมันก็แบบนี้แหละน้าา”
“อะไร จะหาเรื่องอะไรอีก”
ฉันกอดอกพลางจ้องมองคนเจ้าเล่ห์ที่กำลังเพ่งมองดูฉันอย่างไม่วางตา
“ซื้อมาแล้วก็ไม่กินนี่ไง นิสัยเสีย”
อยู่ ๆ มาต่อว่ากันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ ประสาทเปล่าวะ
“อืม ก็เป็นคนนิสัยเสียแบบนี้แหละ เพิ่งจะรู้เหรอ”
“ใช่! เพิ่งรู้ว่านิสัยเสียก็ตอนขึ้นมหาลัยนี่แหละ ถึงได้รู้ไงว่าใจคนมันโลเลได้ตลอด ขนาดคบมาสี่ปี เพิ่งจะมาลงแดงขาดผู้ชายไม่ได้ก็ตอนเข้าปีที่ห้า แล้วนี่ยังไงอะ ไม่เอามันมาด้วยเหรอ เดี๋ยวโรคขาดผู้ชายไม่ได้ก็กำเริบอีก”
“นี่!”
“อ้อ... หรือตั้งใจจะมาหาใหม่ที่มออยู่แล้ว ก็คงงั้นแหละเนอะ ถึงได้ใส่กระโปรงสั้นแค่คืบเดียวเดินว่อนไปทั่วมอขนาดนี้”
ฉันต้องใช้ความอดทนอย่างมากที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับฉันก็ตาม
“ก็ใช่ พี่พูดไม่ผิดเลย เพราะออมตั้งใจมาหาใหม่อยู่แล้ว แต่ขัดหูไปหน่อยที่บอกว่าออมใส่กระโปรงสั้นมาอ่อยผู้ชาย ระดับออมคลุมกระโปรงยาวลากพื้นผู้ชายยังวิ่งตามเลย พี่เองก็เคยวิ่งตามออมนี่นา จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้เลยเหรอ?”
“ช่วงเวลานั้นมันมีอะไรให้น่าจำด้วยเหรอ”
เหอะ! แล้วไอ้หมาตัวไหนมันพูดว่าช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเป็นนาทีที่ดีที่สุดในชีวิตวะ
“ไม่รู้สิ นี่ก็ไม่เคยจำเหมือนกัน”
ฉันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากร้าน แม้ว่าท้องจะร้องประท้วงด้วยความหิวโหย อุตส่าห์เล็งก๋วยเตี๋ยวเส้นมาม่าไว้ตั้งแต่เที่ยง เลยต้องไปจบที่มาม่าในเซเว่นใต้หอ
ยังไงก็พอแก้ขัดไปได้อยู่หรอก พรุ่งนี้ค่อยมาแก้มือใหม่