กิจกรรมรับน้องวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็พอมีอุปสรรคอยู่บ้าง เพราะยัยก้านตองที่เป็นคนโทรย้ำฉันเองแท้ ๆ ว่าห้ามลืมป้ายชื่อเป็นอันขาด แต่ตัวเองดันลืมมันเสียได้ เป็นเหตุให้ต้องโดนลงโทษโดยการปั่นจิ้งหรีดจนหน้ามืด ลำบากฉันต้องพยุงมานั่งที่ม้าหินอ่อนในช่วงเลิกกิจกรรม
“ไหวปะเนี่ย”
“ไหว ๆ”
เธอตอบกลับพลันยกยาดมยัดเข้ารูจมูกแล้วสูดดมเข้าไปเต็มปอด
“พี่ไทน์โหดจังวะ สั่งปั่นจิ้งหรีดไม่พักเลย”
ผู้ชายที่กล่าวถึงคือพี่ว้ากที่เป็นแกนนำ และเป็นเพื่อนสนิทของไอ้พี่เรส เรามีโอกาสได้เจอกันบ่อย ๆ ในช่วงแรก แต่พอเลิกกับไอ้พี่เรสไปก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่เราต้องพูดคุยกันอีก แต่วันนี้เขายังใจดีเอ่ยทักทายฉันอย่างเช่นปกติ แม้ว่าสถานะระหว่างฉันกับเพื่อนของเขาจะขาดสะบั้นไปแล้ว
“นั่นดิ ใจร้ายยังไงก็ใจร้ายไม่เปลี่ยน”
“หือ? พูดเหมือนรู้จักพี่เขางั้นแหละ”
ว่าแล้วก็ยกสมุดขึ้นพัดให้ลมเย็น ๆ กระทบเข้าหน้าอีกฝ่าย จะได้รู้สึกดีขึ้น
“เคยเรียนด้วยกันสมัยมัธยมน่ะ”
“อ๋ออ”
จริงด้วย พี่ไทน์มาจากโคราช ยัยตองก็มาจากโคราชเหมือนกันนี่
“แล้วนี่ดีขึ้นยัง กลับหอไหวไหม”
“ไหว ๆ แค่นี้สบายมาก”
ใบหน้าซีดเซียวดูมีสีขึ้นมาเยอะ ฉันจึงนั่งเฝ้าอยู่สักพักจนมั่นใจว่าเธอหายหน้ามืดแล้วจริง ๆ ถึงได้แยกย้าย
หอพักของฉันกับยัยก้านตองแยกออกไปคนละฝั่ง และหอพักของฉันก็อยู่ไกลออกไปเกือบกิโล แต่หอยัยนั่นอยู่ติดรั้วของมอเลย
ในตอนนี้ฉันยังไม่มีรถใช้เพราะพี่อลันยังไม่ได้เอารถมาส่ง ฉันจึงต้องใช้บริการรถแท็กซี่ไปก่อน ทว่าจังหวะที่ฉันกำลังเดินออกไปที่ถนนใหญ่ จู่ ๆ ก็มีรถเก๋งสีเหลืองแล่นมาจอดเทียบข้าง ก่อนจะเลื่อนกระจกลงเผยให้เห็นบุคคลที่ไม่พึงประสงค์จะเจอ
“มาเดินอ่อยผู้ชายอะไรแถวนี้ จวนจะมืดอยู่แล้ว กลัวไม่ได้เสียตัวหรือไง”
“...”
สาบานเถอะว่าที่พูดออกมาคือประโยคที่กลั่นกรองแล้ว ทำไมมันถึงได้ทุเรศหูขนาดนี้
ฉันไม่ได้ตอบกลับไปทันที แต่ก้มลงมองที่พื้นถนนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“เท้าออมก็เหยียบอยู่บนถนนนี่คะ แล้วทำไมไปหนักบนหัวพี่ได้ล่ะ?”
“ออมสิน!”
เขาตะคอกเสียงดัง แต่ฉันกลับไม่สะทกสะท้าน รีบหันหน้ากลับไปมองทางแล้วเดินต่อ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะแขวะอย่างเดียว ถึงได้ขับรถช้า ๆ ตามฉันมา
“ขึ้นรถ”
“ขึ้นทำไมคะ”
ฉันถามโดยไม่แม้แต่จะหยุดเดิน ไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ
“จะไปส่ง”
“ออมขอเหรอ? จำได้ว่าไม่มีประโยคไหนที่สื่อออกไปแบบนั้นนี่”
“ออมสิน ฉันสั่ง!”
กล้าดียังไงถึงมาออกคำสั่ง ขนาดพ่อยังเอาฉันไม่ลงเลย
ฉันเพียงแค่ปรายหางตาไปมองด้วยความขุ่นเคือง แต่ไม่คิดจะหยุดเดิน ยังคงลอยหน้าลอยตาทำหูทวนลม จนกระทั่งรถคันหลังเริ่มบีบแตร เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนขาออกที่คับแคบ รถสวนเลนกันไม่ได้ แล้วไอ้พี่เรสเล่นขับช้าเป็นเต่าประกบฉันแบบนี้ เลยทำให้รถติดยาวไปมากกว่าสิบคัน
“ก็ตามใจนะ ถ้าไม่ขึ้น ฉันก็จะขับประกบอยู่แบบนี้แหละ”
คนในรถทำตัวไม่ยี่หระคืนบ้าง เลยต้องกลายเป็นฉันที่อยู่ไม่สุข
“น้อง! จะเดินคุยกันอีกนานไหม ไม่เห็นเหรอว่ารถมันติด”
เอ้า! ไหงถึงกลายเป็นฉันที่โดนด่าได้เล่า ทำไมไม่ไปด่าไอ้พี่เรส มันเป็นคนขับรถแท้ ๆ
“หึ ๆ ตามใจนะ อยากเดินชิล ๆ ฉันก็ไม่ติด”
เขาว่าพลางเอนหลังพิงเบาะรถด้วยท่าทางสบาย ๆ ทั้งที่ด้านหลังเริ่มบีบแตรไล่เสียงดังสนั่น แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ นอกจากยอมเดินอ้อมไปนั่งบึ้งตึงในรถอย่างจำยอม
“ก็แค่นั้น”
เมื่อเห็นว่าฉันขึ้นมาบนรถแล้ว เขาถึงได้เหยียบคันเร่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาฉันคว้าเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดแทบไม่ทัน
“ซ้ายหรือขวา”
“ขวา”
“อ้อ... อยู่แถวร้านก๋วยเตี๋ยวเมื่อวานนี้ใช่ไหม?”
“อืม”
ฉันตอบกลับสั้น ๆ พลางเบือนหน้าหลบ
“รถคันนี้ฉันเพิ่งไปถอยมาเมื่อวานเลยนะ นั่งสบายปะ”
“อวดรวย?”
ฉันพูดออกไปแบบนั้น แต่ลึก ๆ ก็รู้แล้วว่าเขาต้องการจะบอกอะไรสักอย่างมากกว่า เพราะการอวดรวยไม่ใช่นิสัยของเขา
“หึ ๆ เปล่า ๆ ฉันแค่จะบอกว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ฉันโคตรซวยเลย ไม่รู้ว่าไอ้เด็กเวรที่ไหนมันจงใจขับรถชนท้ายรถฉัน แต่มันคงลืมไปนั่นแหละว่าร้านดังขนาดนั้นมีกล้องวงจรปิด”
“...”
ฉิบหายละ...
“เธอว่า... ฉันควรทำยังไงกับยัยเด็กเปรตนั่นดี”
ทั้งที่เขากำลังยิ้มออกมา แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกสยดสยองกับรอยยิ้มนี้จนขนแขนลุก และแม้ว่าฉันจะปกปิดความผิดมากแค่ไหน สายตาของฉันมันก็ฟ้องว่าฉันคือยัยเด็กเปรตที่เขากล่าวถึงอยู่ดี
“คะ คงไม่ตั้งใจมั้ง อุบัติเหตุเปล่า”
ฉันตอบเสียงตะกุกตะกักพลางเบือนหน้าหลบ
“คิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
เขาเอาแต่เซ้าซี้ไม่เลิก จนฉันเริ่มอยู่ไม่สุข กลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีก
“เธอว่าถ้าฉันจับยัยเด็กนั่นได้ควรทำยังไงกับมันดี แทงเลยดีไหม?”
“...”
“เอาให้มิดด้าม ให้มันครางจนตาเหลือก”
“จะ จอดตรงนี้แหละ”
ฉันรีบกระชับสายกระเป๋าแล้วหันไปปลดเข็มขัดนิรภัย แต่เขากลับไม่ยอมเลี้ยวเข้าข้างทาง แถมยังเอาแต่ขับต่อไปราวกับไม่ได้ยินที่ฉันบอก
“จอดตรงนี้!”
“ยังไม่ถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเมื่อวานนี้เลย จะรีบลงไปไหน ถ้าส่งไม่ถึงที่ก็เหมือนปี้ไม่สุด ฉันชอบอะไรที่มันสุด ๆ อยู่แล้ว เธอก็รู้นี่”
ไอ้พี่บ้านี่มันเป็นโรคจิตจริง ๆ สินะ เลิกกันไปแล้วยังจะเอาแต่กรอกหูด้วยเรื่องทะลึ่ง ๆ อยู่ได้
ท้ายที่สุดฉันจึงต้องกอดอกทำหน้าไม่รับบุญจนกระทั่งมาถึงหน้าหอ แต่แทนที่เขาส่งเสร็จแล้วจะรีบกลับ ยังเดินตามฉันมาราวกับจะขึ้นไปส่งถึงหน้าห้อง
“ตามมาทำไม?”
“ปวดฉี่”
โห! มุกนี้เก่าจนจะเท่าอายุอยู่แล้ว ยังเล่นอยู่อีกเหรอ ฉันไม่ได้โง่ขนาดที่ดูไม่ออกนะ
“อย่ามาเนียน หน้าออมดูโง่เหมือนเด็กในสต็อกพี่เหรอ”
“เอ้า ปวดจริง ๆ”
เขาทำหน้าจริงจังประกอบคำพูด แต่ฉันยังเอาแต่เพ่งมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
“สรุปจะให้ขึ้นห้องไหม?”
“ไม่!”
“ดี! งั้นปล่อยแม่งตรงนี้แหละ”
ว่าแล้วก็ปลดกระดุมกางเกงออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรูดซิปลงจนฉันเบิกตาโพลง รีบวิ่งเข้าไปจับมือเขาไว้ ไม่ให้ทำอะไรอุจาดตาไปมากกว่านี้
“โอเค ๆ ขึ้นก็ขึ้น”
ใบหน้าชั่วร้ายเผยรอยยิ้มออกมาทันทีเมื่อฉันเอ่ยอนุญาต ก่อนจะเดินตามก้นต้อย ๆ เข้ามาในลิฟต์และขึ้นไปที่ชั้นเก้า
“รีบฉี่ล่ะ จะได้รีบไป”
ฉันบอกโดยที่ไม่มองหน้า เพราะกำลังควานหาคีย์การ์ด เมื่อเปิดห้องได้แล้วก็ยืนดูคนร่างใหญ่ทิ้งกุญแจรถและโทรศัพท์ลงบนเตียง ส่วนตัวเขานั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป
จริง ๆ ฉันไม่ใช่คนชอบยุ่งกับของใช้ส่วนตัวของคนอื่น แต่พอเห็นโทรศัพท์ไอ้พี่เรสวางอยู่ก็อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ แม้พยายามจะห้ามใจ แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็หยิบโทรศัพท์เครื่องสีดำขึ้นมาถือเอาไว้ในมือแล้ว
“รหัสอะไรวะ”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ก่อนจะจำได้คร่าว ๆ ว่าครั้งล่าสุดที่เขาตั้งรหัสคือวันเดือนปีที่เราคบกัน ถึงแม้โอกาสจะน้อยมาก ๆ ที่เขาจะยังตั้งรหัสนี้อยู่ แต่ก็ลองดูแล้วกัน
“220662”
พึ่บ!
“...”
ฉันตกใจเล็กน้อยที่เขายังใช้รหัสวันครบรอบของเราในการปลดล็อกโทรศัพท์อยู่ แต่ก็ไม่อยากให้ความสนใจกับเรื่องนี้นาน เพราะอีกหน่อยคนในห้องน้ำก็จะออกมาแล้ว
นิ้วเรียวรีบจิ้มลงไปที่เมซเซนเจอร์ ค้นดูข้อความว่าเขาคุยกับใครบ้าง แต่ก็ไม่มีบุคคลที่ฉันสงสัย จึงรีบปัดออกแล้วกดเข้าไปในไลน์ และได้เจอข้อความของเธอคนนั้นจริง ๆ
ก้านตอง...
(ขอบคุณมากนะคะ)
ข้อความสั้น ๆ ที่ส่งกลับมาบ่งบอกได้แน่ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคุยกัน แต่มันดันถูกลบออก จนเหลือเพียงแค่ข้อความล่าสุด
ฉันยังไม่ทันได้วิเคราะห์หรือดูอะไรไปมากกว่านี้ แต่ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูห้องน้ำจึงรีบวางโทรศัพท์แล้วทำทียืนกอดอกรอเขาอยู่
พออีกฝ่ายเดินออกมาแล้วก็ยังไม่รีบเดินมาหยิบข้าวของแล้วออกไป แต่กวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องคล้ายกับสำรวจอะไรบางอย่าง
“ฉี่เสร็จก็ออกไปได้แล้ว”
“หิวน้ำด้วยอะ”
ว่าแล้วก็เดินผ่านหน้าฉันไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบน้ำขึ้นมากรอกใส่ปากอย่างถือวิสาสะ
“แก้วก็มี!”
“ทำไม? แค่นี้รังเกียจเหรอ ทีเมื่อก่อนทั้งดูดทั้งกลืนไม่เห็นจะบ่น”
“...”
ก็เพราะเมื่อก่อนที่ว่า มันคือตอนที่เราคบกันยังไงล่ะ แต่ตอนนี้ไม่เหลือสถานะอะไรเลย เราเป็นแค่รุ่นพี่กับรุ่นน้อง ไม่ได้เกี่ยวข้องกันไปมากกว่านี้
“กินเสร็จแล้วก็ไสหัวออกไปซะ”
“นมใหญ่ขึ้นนะ”
“...”
ไม่เจอกันเกือบปี ดูสิ่งที่มันทักสิ มันใช่สิ่งที่ควรมาทักกันหรือเปล่า
“จะออกไม่ออก ไม่งั้นจะเรียกรปภ.”
“หึ ๆ ออกอยู่แล้ว แต่... เดี๋ยวแวะมาใหม่”
“ใครต้อนรับ?”
เขาไหวไหล่พร้อมกับเดินไปหยิบเอากุญแจรถและโทรศัพท์บนเตียงด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“หน้าตาฉันเหมือนคนมีมารยาทขนาดนั้นเลยเหรอ ไปละ”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไป และไม่ลืมที่จะล็อกประตูให้ฉันด้วย
คนบ้าอะไรกวนประสาทเก่งชะมัด! แล้วฉันให้เขารู้ห้องพักแบบนี้จะเป็นอะไรไหม? แต่คงไม่หรอกมั้ง ผู้ชายมักมากแบบนั้นจะตามมาวอแวแค่ฉันอยู่ทำไม เขาคงไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้หรอก...