ปกติเวลากลางคืนมักเป็นช่วงเวลาที่ฉันชอบที่สุด ทว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่หอพักคนเดียวฉันก็ไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะว่ามันทั้งเงียบ และเหงา จะโทรหาเพื่อนเก่าก็ไม่ว่าง จะโทรเล่นกับยัยตอง ยัยนั่นก็ต้องอ่านหนังสือในช่วงเย็น ครั้นจะโทรคุยกับพี่อลัน เขาก็ดันยุ่งกับงานที่บริษัทอีก นี่จึงเป็นเหตุผลให้ฉันอาบน้ำและเตรียมจะเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าสามทุ่ม
แต่จังหวะที่ฉันเตรียมจะปิดไฟ จู่ ๆ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ฉันจึงคว้ามันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดเรียวคิ้วเล็กน้อย
“มิลลิ ทักมาทำไมวะ”
ยัยนั่นเป็นเด็กไฮโซที่อยู่ในห้องเดียวกัน เรามีโอกาสได้คุยกันบ้าง แต่ไม่สนิท เพราะยัยนั่นดูเป็นคนแรง ๆ หน่อย เป็นประเภทที่ชอบยั่วผู้ชายไปทั่วและออกแนวล่าแต้ม ไม่ใช่สไตล์ที่ฉันอยากเข้าหามากนัก
(ว่างไหม)
“กำลังจะนอนแล้ว มีอะไรเปล่า”
ข้อความที่เพิ่งส่งไปถูกเปิดอ่านในทันที รอเพียงอึดใจเดียวปลายทางก็ส่งข้อความกลับมา
(มาดื่มเป็นเพื่อนหน่อยสิ อยู่ผับข้างมอ)
ฉันเม้มปากเล็กน้อยเพื่อครุ่นคิด ก่อนจะต่อสายหาก้านตอง เผื่อว่ายัยนั่นอยากออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยกัน แต่ปลายสายกลับไม่มีคนรับ ถ้าไม่หลับไปแล้วก็คงกำลังอ่านหนังสืออยู่แน่ ๆ
(วันนี้วันเกิดฉันน่ะ เพื่อนมาน้อยมาก มาเป็นเพื่อนกันหน่อยนะ)
ฉันพิมพ์ข้อความเตรียมที่จะปฏิเสธออกไปแล้ว แต่พอถูกรบเร้าแบบนี้ก็อดใจอ่อนไม่ได้ เลยต้องลบข้อความแล้วพิมพ์ส่งไปใหม่
“ส่งพิกัดมาแล้วกัน อีกสิบนาทีจะออกไป”
กะทันหันแบบนี้จะไปเตรียมของขวัญวันเกิดทันได้ไงเล่า แต่ก็ยังแปลก ๆ อยู่ดีที่ยัยนั่นทักมาชวนฉัน
(ขอบใจมากนะเพื่อนรัก รีบมานะรออยู่)
“เพื่อนรัก? สนิทกันตอนไหนวะ”
ฉันพึมพำกับตัวเองเสียงเบาพลางขมวดคิ้วงุนงงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตาลวก ๆ กะว่าจะไปดื่มสักชั่วโมงแล้วกลับมานอน ช่วงนี้รู้สึกเครียด ๆ ด้วย ออกไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น
ฉันใช้เวลาแต่งตัวไม่นานก็ลงมายืนโบกรถที่หน้าหอพัก และนั่งรถมาไม่นานก็ถึงที่หมาย ผับนี้เป็นผับดังที่อยู่ฝั่งซ้ายของมอ ใกล้ ๆ หอพักยัยก้านตองเลย แต่ยัยนั่นคงจะไม่สะดวกมา
“ออมสิน ทางนี้ ๆ”
คนตัวเล็กกระโดดโลดเต้นพร้อมกับโบกไม้โบกมือเรียก แต่ที่ทำให้ฉันนิ่งชะงักไปอย่างชั่งใจ คือกลุ่มผู้ชายที่ยืนรายล้อมเธอเอาไว้อยู่ ถึงจะมีผู้หญิงบ้างประปรายก็เถอะ
“ขอบใจที่มานะแก”
ยัยมิลลิโน้มเข้ามากอดฉันอย่างสนิทสนม ก่อนจะดึงแขนไปนั่งลงเก้าอี้ที่กลุ่มผู้ชายกำลังเพ่งมองมาที่ฉันราวกับเสือที่กระหายในกลิ่นเนื้อ ฉันพลาดจริง ๆ ที่หลงคารมยัยนี่ถึงได้ตามมา
“ไหนบอกว่าไม่มีเพื่อนไง”
ฉันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“อ๋อ พวกไอ้พีทมันมาเซอร์ไพรส์น่ะ เพิ่งจะมาถึงก่อนแกเมื่อห้านาทีนี่เอง เนอะ”
เธอโน้มไปกอดคอคนชื่อพีทพร้อมกับขยับขึ้นไปนั่งตักอีกฝ่าย ทำเอาฉันปั้นหน้าไม่ถูกเลยหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม
“ถ้าแกมีเพื่อนแล้ว ฉันกลับก่อนนะ”
ฉันเตรียมจะลุกพรวดออกไป แต่ผู้ชายที่ชื่อพีทกลับคว้าข้อมือของฉันเอาไว้จนฉันสะดุ้ง
“เดี๋ยวสิ! ไหน ๆ ก็มาแล้ว ดื่มด้วยกันก่อน สักสิบนาทีก็ได้”
ยัยมิลลิแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือคนชื่อพีทออกแล้วขยับเข้ามากุมมือของฉันแทน
“แค่สิบนาทีเองแก นะ ๆ”
ฉันเกลียดตัวเองที่สุดในตอนที่ชอบใจอ่อนให้กับทุกคน แม้ว่าเปลือกนอกฉันจะแข็งกระด้างแค่ไหน แต่พอมีใครมารบเร้าหรือเว้าวอนก็มักจะได้ในสิ่งที่ต้องการไปจากฉันเสมอ
“อืม ๆ แค่สิบนาทีนะ”
“เย่ น่ารักที่สุด ไอ้บอย เทเหล้าให้เพื่อนรักกูดิ๊”
ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเพื่อนผู้ชายที่นั่งอยู่ใกล้ขวดเหล้าที่สุด
“ได้ครับเจ้”
ฉันผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างปลงตก ก่อนจะยอมนั่งลงแล้วกระดกเหล้าเข้าไปเพื่อดับกระหาย ระหว่างนี้ก็ไม่พูดคุยหรือทำตัวเป็นมิตรกับใครเลย ใครถามมาก็แค่ตอบไปส่ง ๆ เข็ดจริง ๆ กับเรื่องแบบนี้ ต่อไปจะไม่หาเหาใส่หัวตัวเองอีก
“สิบนาทีแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
“ให้ฉันไปส่งไหม?”
“ไม่ต้อง ๆ ฉันไปเองได้ สุขสันต์วันเกิดนะแก”
ว่าแล้วก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะนิ่งค้างไปเพราะมึนหัวกะทันหัน จำได้ว่ากินเข้าไปไม่ถึงสี่แก้ว นี่มันเหล้าอะไรวะเนี่ย ทำไมถึงแรงขนาดนี้
“เป็นไรเปล่า”
“ปะ เปล่า กลับละ”
ฉันสะบัดหัวไล่ความมึน แต่ยิ่งสะบัดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันตาลายแปลก ๆ นาทีนี้ฉันควรที่จะพาตัวเองกลับหอให้เร็วที่สุด จึงพยายามแหวกผู้คนที่กระโดดโลดเต้นไปตามเสียงเพลงออกมา
“ทำไมร้อนจังวะ”
ฉันอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาพัดตามลำคอ เหงื่อเริ่มชุ่มออกมาอย่างผิดสังเกต คอเริ่มแห้งผาก หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่คิดนะ
จากที่แค่ตาลาย ในตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเมาอย่างเต็มรูปแบบ ถึงขนาดที่ไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ จึงต้องหยุดแล้วยืนพักที่หน้าผับก่อน
“ให้ไปส่งไหม”
ในขณะที่ฉันกำลังยืนพิงหลังไปกับผนังหน้าผับ จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง แต่ทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นว่ามันคือผู้ชายที่ชื่อพีท ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย
“ไม่ต้อง!”
น้ำเสียงห้วน ๆ เอ่ยบอกในขณะที่พยายามพาตัวเองออกมาโบกรถยังถนน แต่กลับถูกผู้ชายคนเดิมเดินเข้ามาคล้องเอวอย่างถือวิสาสะ
“เธอเมามากแล้วนะ ให้เราไปส่งดีกว่า”
พึ่บ!
“ในเหล้ามีอะไร”
ฉันเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาทันทีที่ผลักอกผู้ชายคนนั้นออกไปพ้นตัว แต่กลับเป็นฉันเสียเองที่เซไปด้านหลังจนเกือบล้ม
“จะมีอะไรล่ะ ก็มีน้ำแข็งไง”
“มึงเอายาอะไรใส่ให้กูกิน”
คนเจ้าเล่ห์กระตุกยิ้มร้าย พร้อมกับจ้องมองฉันที่กำลังรู้สึกกระหายในเรื่องที่หน้าอาย ฉันเดาจากอาการของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องรอคำตอบอื่น เพราะมันชัดเจนแล้วว่าฉันโดนยาปลุกเซ็กซ์
“หึ ๆ รู้แล้วก็ดี ไปขึ้นสวรรค์กับพวกเราดีกว่านะ กว่ายาจะหมดฤทธิ์ ก็น่าจะวนได้สิบสองคนพอดี”
“ชาติหมา! ช่วย... อุ๊บ!!”
คนร่างใหญ่รู้ทันว่าฉันจะทำอะไร เขารีบพุ่งเข้ามาทาบมือปิดปากพร้อมกับออกแรงกระชากฉันไปที่ลานจอดรถ
“อื้ออ”
แม้ว่าความอยากกระหายในกามจะพุ่งทะยานขึ้นสูงอย่างไต่ระดับ แต่ฉันยังมีสติยั้งคิด และต่อต้านการร่วมเพศโดยไม่สมยอมอย่างหัวชนฝา
พึ่บ!
ร่างเล็กถูกยัดเข้ามาในรถอย่างง่ายดายจนหน้าคะมำ ก่อนที่มันจะขยับเข้ามาคร่อมทับ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ตัวของมันก็ถูกกระชากคอเสื้อออกไปจากรถโดยผู้มาใหม่ ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงคนชกต่อยกันที่ด้านนอกรถ
ผลัวะ ผลัวะ!
“มึงจะหนีไปไหนไอ้สัตว์! มานี่”
ฉันรีบลุกขึ้นมาอย่างลนลาน เตรียมจะวิ่งหนี แต่พอเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ฉันก็รีบพุ่งเข้าไปหาเขาพร้อมทั้งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา ส่วนไอ้พีท มันโดนยำด้วยเท้าจนเละนอนคุดคู้หมดสภาพอยู่ที่พื้นแล้ว
“ฮึก! พี่เรส”
เขาไม่พูดอะไรกับฉันสักคำ รีบกระชากแขนฉันอย่างแรงด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะลากฉันมายัดใส่รถแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“เธอนี่มันขาดผู้ชายไม่ได้จริง ๆ สินะออมสิน!!”
คนขบฟันกรามแน่นไม่แม้แต่จะหันมาดูอาการว่าฉันกำลังนั่งหายใจแรงแค่ไหน
“น้ำ... ขะ ขอน้ำ”
มือที่สั่นเทาแตะสัมผัสตักอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าฉันและเลี้ยวรถเข้ามาในซอยเปลี่ยวที่มืดสนิท
“ทำไมเป็นแบบนี้ ไปทำอะไรมา”
“เอาน้ำให้หน่อย ไม่ไหวแล้ว”
ฉันไม่ตอบ แต่พยายามควานมือไปหยิบขวดน้ำที่อยู่ฝั่งเขา พอได้ขวดน้ำมาแล้วก็รีบเปิดฝาและดื่มอย่างกระหาย พลันเอื้อมมือไปเพิ่มแอร์ขึ้นจนสุด ภายใต้สายตาของพี่เรสที่จ้องไม่วาง
“นี่โดนยาปลุกเซ็กซ์มาเหรอ?”
ฉันไม่ตอบ เอาแต่นั่งนิ่งพยายามยับยั้งอารมณ์ที่พุ่งทะยานขึ้นสูงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงได้เอง
“งั้นไปโรงพยาบาล”
“ไม่ได้นะ! เดี๋ยวพ่อรู้”
ฉันเด้งตัวขึ้นมาเกาะแขนเขาพร้อมกับอ้อนวอนสุดฤทธิ์
“รู้ก็รู้ไปสิ อยากทรมานจนตายหรือไง”
“แต่พ่อออมกำลังป่วย ออมไม่อยากให้เขาคิดมาก”
ในตอนแรกดูเหมือนเขาจะไม่ยอมง่าย ๆ แต่พอได้ฟังเหตุผลจึงหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน
“ไอ้ไทน์ ถ้าโดนยาปลุกเซ็กซ์ต้องแก้ไงวะ”
เขารีบกรอกเสียงลงอย่างร้อนใจ แต่อีกฝ่ายยังเอาแต่เล่นสร้อยอย่างใจเย็น
(ใครโดนยาปลุกเซ็กซ์วะ ให้กูไปร่วมแจมด้วยเปล่า)
“ไอ้ห่า! กูไม่ตลก กูถาม!!”
เสียงตะคอกที่ดังขึ้นอีกระดับทำเอาพี่ไทน์กลับเข้าสู่โหมดจริงจังโดยอัตโนมัติ
(ก็มีเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นอะ แล้วก็ถ้าเขาอยากอะไรก็จัดให้แบบนั้นแหละ)
“มึงหมายถึง...”
(เออนั่นแหละ คนเ****นก็ต้องแก้เ****นสิวะ ถ้าเ****นแล้วไปแก้บนก็คงไม่หายหรอก)
“...”
พี่เรสนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกดวางสาย ก่อนจะหันมามองหน้าฉันที่กำลังทุรนทุรายด้วยฤทธิ์ยาอย่างเต็มระบบ
“อดทนก่อนนะ เดี๋ยวจะพากลับห้อง”
“กลับห้องไม่ไหวแล้วพี่เรส”
ฉันรั้งมืออีกฝ่ายที่กำลังจะยกขึ้นมาจับพวกมาลัยด้วยเสียงกระเส่า ก่อนจะนำมือหนาขึ้นมาทาบใส่เนินอกที่แน่นจนเกือบทะลัก
“ตรงนี้เลยได้ไหม?”
“...”