เขายกมือขึ้นห้ามไม่ให้ลูกน้องที่ตามมาด้านหลังเข้ามาใกล้มากเกินไป
“หึ ฉันประมาทเกินไป ลงมือได้เลย” เสี่ยวจิ่วใบหน้าเรียบเฉย เธอไม่สามารถหยิบปืนที่อยู่ในกระเป๋าหลังออกมาใช้ได้ ตอนนี้ได้แต่ยอมรับความตายเท่านั้น
“มันง่ายไป ผมต้องการถามข้อมูลบางอย่างจากคุณ”
“ฉันไม่มีอะไรจะบอก” เสี่ยวจิ่วเสียวสันหลังวูบ เมื่อเสียงในหัวของเธอมันร้องเตือนเรื่องระเบิดเวลา
เธอหันไปมองรอบๆ ตัวอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสายตาของคนในองค์กรมองมาที่เธอ จึงได้รู้ว่าเวลาของเธอหมดแล้ว
เธอไม่คิดว่าในกลุ่มของตำรวจตอนนี้ มีคนขององค์กรเธอแฝงตัวเข้ามาด้วย ก่อนหน้านี้แม้จะรู้ตลอด แต่ครั้งนี้เธอไม่ดีรับการยืนยันจากทางองค์กร
“ถอยออกไป” นี่คือสิ่งเดียวที่เธอจะช่วยเขาไม่ให้ตายไปพร้อมเธอ
ในเมื่อองค์กรไม่ให้ทางถอยกับเธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องดึงเป้าหมายให้ตายตามเธอไปด้วย หวังว่าหลังจากที่เธอตายไป ตำรวจหนุ่มคนนี้จะกวาดล้าง องค์กรที่ชั่วร้ายของเธอไปได้ เพื่อให้เพื่อนที่เหลือของเธอได้ไปใช้ชีวิตเช่นคนอื่นเสียที
“คุณว่าอะไรนะ” เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เสี่ยวจิ่วพูด
“หากไม่อยากตาย ถอยออกไปซะ” เธอเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ามาชะงักนิ่งอย่างไม่แน่ใจ เขายังกังวลว่าเธออาจจะซุกซ่อนอาวุธลับอะไรไว้อีกจึงได้ยอมถอยห่างจากเธอไปอีกสองสามก้าว
ตูม!!! แรงระเบิดทำให้กลุ่มคนที่ขึ้นมาจับกุมเสี่ยวจิ่วตกใจไม่น้อย ยิ่งเห็นร่างของเธอระเบิดหายไปต่อหน้าต่อตา ก็ตกใจทำสิ่งใดไม่ถูก กว่าจะรู้ตัวเสี่ยวจิ่วก็เหลือเพียงกองเลือดให้เห็นแล้ว
“...” ตำรวจหนุ่มเม้มปากแน่น เขาไม่คิดว่าภายในตัวของเธอจะมีระเบิดเวลาอยู่ด้วย ยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะไม่ลากเขาไปตายพร้อมกันอีกด้วย
“อาจิ่ว ตื่นได้แล้ว”
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วอย่างมึนงง ตอนนี้เธอต้องตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง ร่างกายที่ถูกระเบิดเวลาจนเหลือเพียงแค่กองเลือด ทำไมถึงได้เหมือนว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด
หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอฝันไปอีกแล้ว เสี่ยวจิ่วลองขยับแขนขาก็พบว่าร่างกายของเธอยังอยู่ครบ
คงเป็นเสี่ยวซานที่มาปลุกให้เธอไปทำภารกิจอย่างแน่นอน หรือว่าสิ่งที่เธอเห็นคือความฝันที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่!!! ไม่ใช่อย่างแน่นอน ความเจ็บปวดจากลูกปืนที่ได้รับ เธอรู้ดีว่าไม่ใช่ความฝัน
เสี่ยวจิ่วลืมตาขึ้นมองสิ่งที่อยู่รอบตัวช้าๆ
“ฉันขึ้นสวรรค์เหรอ ไม่ใช่หรอก ฆ่าคนมาเป็นร้อยจะมาขึ้นสวรรค์ได้ไง” เธอหัวเราะให้ตัวเองเบาๆ
เมื่อพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง รอบด้านรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่เสี่ยวซานชอบไปเสียมากกว่า หากไม่ติดที่หญิงสาวตรงหน้าที่เหมือนเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน แต่ต่างกันที่เสื้อผ้าของเธอที่ดำสนิท ส่วนของหญิงสาวคนนั้นอยู่ในชุดโบราณ
“เธอเป็นใคร!!!” เสี่ยวจิ่วคว้านหากระเป๋าเก็บอาวุธของเธอที่มักจะอยู่ข้างกายเสมอ อย่างระวังตัว
“ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า” เธอยิ้มกว้างอย่างยินดีที่ได้พบอีกตัวตนของเธอ
“บ้า!!! ฉันไม่ตลก ที่นี่ที่ไหน ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่” เธอลุกขึ้นยืน มองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ที่นี่เป็นห้วงมิติเวลาของท่านเทพชะตา ที่ยอมให้ข้าใช้สื่อสารกับเจ้า”
“พูดให้ง่ายหน่อย ฉันไม่เข้าใจ”
“เจ้าต้องกลับไปที่ภพเดิม เพื่อแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวจิ่วจะพบงานยากกว่าการฆ่าคนเสียแล้ว เมื่อตัวเธอฟังในสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดไม่เข้าใจ ทั้งยังไม่รู้ว่าต้องกลับไปแก้ไขอะไร
“ไม่กลับ พาฉันไปนรกได้เลย” เรื่องในองค์กรทำให้เธอเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่แล้ว สู้ลงไปชดใช้บาปที่ทำไว้ในนรกยังดีเสียกว่า
“เจ้าไม่สงสารพี่ชายกับท่านแม่รึ” หญิงสาวตรงหน้ามองเสี่ยวจิ่วอย่างอ้อนวอน
“ฉันตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวที่ไหน” เมื่อพูดถึงครอบครัวดวงตาของเสี่ยวจิ่วก็หม่นหมองลงทันที
ความทรงจำแรกคงเป็นตอนที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นก็มีชีวิตอยู่ราวกับเครื่องจักรในองค์กร
“พอแล้วนังหนู หากพูดกันไปมา ข้าว่าอีกเดือนก็คงไม่รู้เรื่อง” เสียงชายชราด้านหลังของหญิงสาวดังขึ้น
เสี่ยวจิ่วหรี่ตามองเขาอย่างระวังตัว เพราะเขาปรากฏตัวขึ้นมาโดยที่เธอก็ไม่รู้ตัวสักนิด เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงเสียงฝีเท้าที่ได้รับการฝึกอย่างหนักของเสี่ยวซานย่องเบาเดินเข้ามาในห้อง เสี่ยวจิ่วเธอยังรับรู้ได้ ต่างจากของชายชราตรงหน้าที่เธอไม่ได้ยินสักนิดเดียว
“เจ้าค่ะ ท่านเทพชะตา” หญิงสาวย่อกายลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอยู่ด้านข้างอย่างรู้ความ
“เทพชะตา” เสี่ยวจิ่วมองสำรวจชายชราตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ต้องให้ถึงมือข้า” เขาชี้นิ้วมาที่กึ่งกลางหน้าผากของเสี่ยวจิ่ว
แสงสีขาวปรากฏขึ้น พร้อมกับที่เธอทรุดตัวลงไปนอนกองกับพื้นดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ความทรงจำที่เธอเห็นยามหลับฝันปรากฏขึ้นมามากกว่าที่เธอฝันถึงกว่ามาก เสี่ยวจิ่วกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดหลุดออกไปได้
ผ่านไปนานเพียงใดเธอก็ไม่รู้ เมื่อความทรงจำที่ไหลวนหยุดลง เสี่ยวจิ่วนอนนิ่งๆ บอกท้องฟ้า ความฝันที่บ้าบอ ที่เธอฝันถึงมาตลอดนับสิบปี เป็นเรื่องของเธอในภพก่อน
หญิงสาวตรงหน้าก็คือจิตวิญญาณอีกเสี้ยวของเธอเช่นกัน
“ใกล้ได้เวลาแล้ว เจ้าก็รีบเตรียมตัวเถิด” ชายชราเอ่ยเร่งเธอ เมื่อเห็นว่ายังนอนนิ่งอยู่ที่พื้นดิน
“ทำไมฉันต้องกลับไป ท่านพาฉันไปนรกได้เลย”
“เหอะ เจ้าไม่สงสารมารดากับพี่ชายเจ้าที่มีชะตาชีวิตเช่นนั้นรึ” เขาร้องถามออกมาอย่างไม่เชื่อหู เพราะไม่เคยเจอวิญญาณที่ดื้อรั้นเช่นเสี่ยวจิ่วมาก่อน
“มะ...ไม่” แววตาของเธอสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกของเธอตอนนี้ช่างตรงข้ามกับคำที่หลุดปากออกไปเหลือเกิน
ยิ่งนึกถึงความรัก ความห่วงใยที่มารดาและพี่ชายในความทรงจำมีให้ เธอก็โหยหาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เจ้านี่มัน!!! ดื้อรั้นเหลือเกิน” แต่แววตาของชายชราที่มองมาทางเสี่ยวจิ่ว กับยกยิ้มอย่างพอใจ
ตอนที่นางเป็นศิษย์รักของเขาก็ดื้อรั้นเช่นนี้ ยิ่งเห็นชะตาของนางที่ผิดเพี้ยนเพราะความผิดพลาดของเขา จึงไม่อาจทนมองได้ จำต้องยอมฝืนกฎสวรรค์ส่งนางกลับไปแก้ไขอีกครั้ง
มันผิดพลาดตั้งแต่ชะตาของตู้เหลียนที่เดิมทีนางต้องแต่งให้ผู้อื่น แต่ถูกขีดเขียนให้แต่งเข้ามาเป็นอนุของเซี่ยถงวู่ แต่ไม่อาจที่จะแก้ไขให้เปลี่ยนแปลงได้แล้ว
จึงได้ต้องนำวิญญาณของนางที่เป็นเสี้ยวหนึ่งของเสี่ยวจิ่วกลับไปคืนร่างเดิม เพื่อแก้ไขไม่ให้ชะตาต้องตายด้วยน้ำมือของโจรป่า
“เป็นท่านพี่ทำผิดพลาด ทำไมต้องให้ฉันกลับไปแก้ไข” นางดันตัวขึ้นนั่งแล้วมองเทพชะตาอย่างไม่ยินยอม
“เพ้ย บอกให้ไปก็ต้องไป” เขากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ แม้อยากจะเข้าไปทุบตีก็ไม่กล้า เพราะเลี้ยงดูนางมาดั่งบุตรของตนเอง
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วคิด “ถ้างั้น ฉันก็ต้องได้อะไรติดตัวไปบ้าง” เธอจำได้ว่าเสี่ยวซานที่ชื่นชอบอ่านนิยายในโลกออนไลน์เคยเล่าความวิเศษของมิติที่มีในนิยายให้เธอฟัง