ตอนนั้นเธอยังหัวเราะอย่างขบขัน มันจะมีก็เพียงแค่ในนิยาย ที่นักเขียนสรรค์สร้างเอาไว้เอาใจนักอ่านก็เท่านั้น
“เหอะ ไม่มี ข้าไม่มี” เทพชะตาถลึงตามองเสี่ยวจิ่วที่คิดจะขอของจากเขา
“งั้นก็ไม่ไป” เธอนอนหลับตาลงอย่างไม่รีบร้อน หากต้องการให้เธอกลับไปก็ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนจะยอมเสียเปรียบได้ไง
“จะ เจ้า!!! ดื้อรั้นเกินไปแล้ว” เทพชะตาจะส่งเสี่ยวจิ่วไปเลยก็ยังได้ แต่เขาอยากจะพูดคุยกับเธอให้นานเสียหน่อย หลังจากที่ลูกศิษย์ลงมาโลกมนุษย์ตัวเขาก็เหงาปากอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ได้ตอบโต้กับศิษย์รัก
“อืม” เธอส่งเสียงตอบรับออกมา
เซี่ยหรูอวี้มองทั้งสองโต้เถียงกันอย่างชอบใจ นางที่เป็นเสี้ยวจิตวิญญาณย่อมต้องถวิลหาอีกเสี้ยวของนางเช่นกัน
“ได้ ได้ เจ้าอยากได้สิ่งใด” เหตุที่ยอมง่ายดายเพียงนี้ เพราะไม่อาจยื้อเวลาให้ล่วงไปนานมากกว่าตตนี้ได้แล้ว จึงได้แต่เลิกเล่นสนุก ยอมตามใจเสี่ยวจิ่วให้เธอได้ของติดตัวไปบ้าง
เสี่ยวจิ่วลุกขึ้นยืนมองตาเทพชะตา ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการ
“ฉันอยากได้มิติแห่งนี้ กับห้องพักในองค์กร” ในนั้นมิทุกสิ่งที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก หรืออาวุธ
“มากเกินไป” เทพชะตาเอ่ยเสียงแข็งออกมา ด้วยอาวุธที่เสี่ยวจิ่วมีครอบครอง สามารถทำให้มิติที่เธอจะไปสั่นสะเทือนได้เลย
เสี่ยวจิ่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างตั้งคำถาม เธอทำท่าจะนั่งกลับไปที่เดิมก็ถูกเสียงของเทพชะตาร้องห้ามไว้เสียก่อน
“ดะ เดี๋ยว!!! ข้ายอมให้เจ้าก็ได้ แต่ว่าอาวุธของเจ้าไม่อาจนำไปได้ทั้งหมด”
“ท่านคิดว่าข้าประกอบปืนกับระเบิดไม่ได้เหรอ” เธอถูกฝึกมาไม่น้อยคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอหรือไง
“เหอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่สิ่งที่เจ้านำไปจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
“เอาติดตัวไปเฉยๆ ไม่เอาออกมาขายหรอกไม่ต้องห่วง” เทพชะตาได้แต่ถลึงตามองเธออย่างไม่พอใจ
“เจ้าห้ามนำออกให้ผู้ใดได้เห็น เข้าใจหรือไม่”
“ถ้าไม่เห็นก็คงนำออกมาได้” เธอพึมพำเบาๆ พร้อมทั้งพยักหน้ารับ
“ข้าได้ยิน” เขาส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของเธออย่างจนใจ
เทพชะตาโบกมือเพียงครั้งเดียว บ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาภายในห้วงมิติ
เสี่ยวจิ่วกำลังจะอ้าปากถาม เพราะมันไม่ใช่ห้องพักของเธอ แต่ก็ถูกเขายกมือขึ้นห้ามเสียก่อน
“เข้าไปดูเสียก่อน ค่อยตำหนิข้า” เสี่ยวจิ่วรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปสำรวจบ้านพักทันที
ด้านในไม่ต่างจากห้องพักที่ห้ององค์กรของนางจัดไว้ให้ เพียงแต่ด้านนอกเท่านั้นที่สร้างไว้ตบตาผู้อื่น (แล้วต้องตบตาใคร ในเมื่อไม่มีใครเข้ามานอกจากเธอ)
“เอ๊ะ” เธอเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะภายในห้องทำงานของเธอ จึงหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ตัวละครด้านในมีชื่อบุคคลไม่ต่างจากที่เธอฝันเห็น “เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายเรื่องหนึ่งเหรอ” นางหันไปมองเทพชะตาอย่างไม่เข้าใจ
ด้านในเนื้อหา ยังเขียนบรรยายถึงความร้ายกาจของเซี่ยหรูอวี้ไว้มากมาย ทั้งชะตาชีวิตของนางตามนิยายก็ไม่เหมือนที่ฝันเลยสักนิด เมื่อสุดท้ายแล้วตู้เหลียนกับเซี่ยหรูอวี้ไม่ได้ตกตายด้วยมือโจรป่า แต่ถูกพ่อบ้านเซี่ยพาไปขายที่หอนางโลม ตามคำสั่งของสวีเหมยลี่
ส่วนเซี่ยหยวนถูกหักขาจนกลายเป็นคนพิการ แม้แต่จะลุกขึ้นช่วยมารดาและน้องสาวก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ตายลงข้างถนน โดยไร้คนเหลียวแล
เสี่ยวจิ่วกัดฟันแน่น หากชะตาชีวิตที่เธอต้องไปเจอ ไม่ได้เป็นเช่นความฝัน แต่เป็นไปตามนิยายเธอจะทำเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เธอจะสังหารพวกมันเสียให้หมดก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเทพชะตาถึงความจริง ก็ถูกเขาเอ่ยไล่เสียก่อน
“ไปได้แล้ว” เทพชะตาโบกมืออีกครั้งวิญญาณของเสี่ยวจิ่วและเซี่ยหรูอวี้ก็หายไปจากที่ทั้งสองยืนเมื่อครู่ทันที “เล่นสนุกให้เต็มที่เล่า เจ้าเด็กดื้อ” เทพชะตาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะอันตรธานหายไปจากมิติเช่นกัน
เสียงร้องไห้แผ่วเบาของสตรีที่เสี่ยวจิ่วได้ยินอยู่ข้างหู เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ว่าตอนนี้เธอข้ามมิติมาแล้วใช่หรือไม่
ความรู้สึกที่เสี้ยวจิตวิญญาณของทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เสี่ยวจิ่วในตอนนี้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ใช่มีเพียงแค่ความเย็นชา ไร้ความรู้สึกเช่นเดิมที่เคยเป็นนักฆ่าอีกแล้ว
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาอย่างร้อนใจ พร้อมทั้งเสียงของบุรุษทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“ท่านแม่ อวี้เออร์นางเป็นเช่นใดบ้างขอรับ”
“อาหยวน เจ้ารู้ได้อย่างไร” น้ำเสียงที่ทั้งตกใจ ทั้งยินดีของผู้ที่ถูกเรียกว่ามารดาเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนขอรับ เหตุใดน้องถึงได้ตกน้ำได้เล่าท่านแม่” เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมทั้งจับมือหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนไว้อย่างแผ่วเบา
“สาวใช้ของอวี้เออร์มิได้อยู่ด้วยกันกับนาง มีเพียงสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ นางว่าน้องสาวเจ้าจะแย่งปิ่นของคุณหนูใหญ่ จึงได้พลาดพลั้งตกลงบ่อน้ำ” ตู้เหลียนสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ
สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในคำพูดของสาวใช้ ด้วยรู้ดีว่าบุตรสาวและน้องสาวของตนเป็นคนเช่นไร นางไม่มีทางไปแย่งของจากเซี่ยหรันเซียนได้แน่นอน
วันนี้ที่จวนตระกูลเซี่ยจัดงานเลี้ยงน้ำชา มีคุณหนูจากจวนตระกูลใหญ่มาเที่ยวเล่นกันไม่น้อย เซี่ยหรูอวี้ที่เป็นเพียงบุตรอนุ นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วนางจะเข้าไปอยู่ภายในงานได้อย่างไร
“รอน้องตื่นขึ้นมาถามให้รู้ความเถิด ท่านแม่ก็อย่าได้เสียใจไปเลย น้องต้องไม่เป็นอันใดมากขอรับ” เซี่ยหยวนเอ่ยปลอบโยนมารดา
สามแม่ลูกมิได้มีชีวิตที่สุขสบายมากนัก แม้มารดาของตนจะเป็นถึงคนโปรดของเซี่ยถงวู่ แต่ด้วยสวีเหมยลี่ฮูหยินเอก ที่เป็นผู้กุมอำนาจในจวน เงินเดือนที่สมควรจะได้รับในทุกเดือนก็มิได้ตกมาถึงมือของทั้งสามคนตามจำนวนที่ควรจะได้
หากตู้เหลียนไม่มีสินเดิมที่ติดตัวมาด้วยจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร แม้แต่ยามที่บุตรทั้งสองเจ็บป่วย เงินส่วนกลางที่ควรจะจ่ายให้ก็ไม่เคยจะได้รับ
เรื่องนี้มิใช่ว่าเซี่ยถงวู่จะไม่รู้ หากเขาสอบถามสวีเหมยลี่เมื่อใด ไม่แคล้วก็จะเกิดเรื่องตามมา ตระกูลสวีที่มีอำนาจมากมายในเมืองหลวง กลับยื่นมือเข้ามายุ่งยากในจวนหลังของผู้อื่นอย่างไม่ละอายใจ
เขาเพียงตำหนิสวีเหมยลี่ไปไม่กี่คำ วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องที่เขาให้ท้ายอนุและบุตรของอนุในจวนก็ถูกชาวเมืองหลวงนินทาเสียแล้ว
ตู้เหลียนแม้จะเป็นถึงบุตรีของอาจารย์ตู้ ที่เป็นถึงอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ด้วยนางถูกผู้เป็นบิดามารดาตัดขาดตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนตระกูลเซี่ย อาจารย์ตู้เมื่อตู้เหลียนแต่งเข้าไปเป็นอนุแล้ว เขาก็พาภรรยาคู่ใจเดินทางกลับเป่ยหานทันที ทำให้นางไม่อาจจะแก้ต่างในเรื่องที่คนเข้าใจผิดกัน
ทั้งนางยังยินยอมที่จะแต่งเข้ามาเป็นเพียงอนุในจวนตระกูลเซี่ยอย่างเต็มใจ จึงไม่มีผู้ใดมองว่านางเป็นสตรีที่ดีมากนัก
นางต้องอยู่เจียมตัวภายในจวน เลี้ยงดูบุตร ปรนนิบัติผู้เป็นสามี ทนยอมให้สวีเหมยลี่กดนางให้อยู่ใต้ฝ่าเท้ามาเสียหลายปี
เสี่ยวจิ่วนอนฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างตัดพ้อ เห็นทีว่าครั้งนี้ที่เซี่ยหรูอวี้เจ็บตัว คงไม่อาจจะหาตัวคนทำมาลงโทษได้อีกตามเคย ทั้งยังต้องแบกรับคำครหาเรื่องที่นางคิดจะแย่งของจากบุตรีฮูหยินเอกไว้อีกด้วย
“ทนได้ไง” นางได้แต่คิดในใจ