หรูอวี้เมื่อทุกคนไปหมดแล้ว นางก็เข้าไปอยู่ในมิติของนาง ทั้งจัดการล้างบาดแผล และตรวจดูอาวุธว่าเหลือมากน้อยเพียงใด ในเมื่อคืนนั้นนางเรียกออกไปใช้อยู่ไม่น้อย
“เอ๊ะ” หรูอวี้ยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่ออาวุธลับ มีดสั้นของนางที่ควรจะเหลืออยู่ไม่มาก ยามนี้มีจำนวนเท่าเดิมมิได้ขาดหายไปสักชิ้น
“เช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดไปแล้ว” ในตอนแรกนางคิดว่าเมื่อถึงเมืองเป่ยหานคงต้องหาช่างตีมีดฝีมือดี เพื่อให้ทำมีดสั้นและอาวุธลับเพิ่มให้นาง
แขนข้างที่บาดเจ็บของหรูอวี้ยังขยับไม่ได้มากนัก นางจึงได้เลิกล้มความคิดที่จะฝึกร่างกายของนางให้กลับมาแข็งแกร่ง รวดเร็วเช่นเดิม ได้แต่เดินเล่นนั่งชมความงามภายในมิติที่ศาลาริมน้ำ พอเห็นว่าถึงเวลาที่ทุกคนจะกลับมาแล้วนางจึงได้ออกไปด้านนอกอีกครั้ง
เสี่ยวซีเมื่อประคองตู้เหลียนกลับไปพักที่ห้องของนางแล้ว ก็รีบมาหาหรูอวี้เพื่อเล่าเรื่องในงานเลี้ยงที่เกิดขึ้น นางทนเก็บความคับข้องใจไว้ไม่ไหวจะแทบอยากจะระเบิดออกมาแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ น่าเจ็บใจนัก” นางเอ่ยฟ้องหรูอวี้ด้วยเสียงสะอื้น ราวกับแค้นใจหนักหนา
“เกิดเรื่องใดขึ้น” แววตาของหรูอวี้แผ่ไอสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นดวงตาของเสี่ยวซีแดงก่ำและคลอไปด้วยน้ำตา
เสี่ยวซีเอ่ยเล่าเรื่องตั้งแต่แรกที่ตู้เหลียนนางถูกจัดให้นั่งด้านหลังสุด ไม่สมกับที่เป็นแขกที่ถูกท่านเจ้าเมืองเชิญอย่างให้เกียรติอย่างที่เขาว่าในตอนแรก
ตลอดเวลาที่ร่วมงานเลี้ยงบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่ต่างได้เข้ามาร่วมงานถากถางเรื่องราวของนางอย่างสนุกปาก
ตั้งแต่เรื่องที่นางเป็นถึงบุตรของท่านอาจารย์ตู้ ที่เป็นอดีตอาจารย์ของฮ่องเต้ แต่กลับลดตัวแต่งเข้าเป็นอนุ ไหนจะเรื่องที่นางถูกสามีถอดทิ้งและหวังจะชุบตัวใหม่โดยการแต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพจ้าว
“แล้วท่านแม่ทัพจ้าวมิได้เอ่ยแก้ต่างให้ท่านแม่เลยรึ” หรูอวี้กำมือแน่น
“ท่านแม่ทัพอยู่ที่งานเลี้ยงฝั่งบุรุษเจ้าค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่รู้เรื่อง”
“แล้วตอนที่กลับมาท่านแม่ข้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับเขาเลยรึ”
“ไม่ได้กลับพร้อมกันเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านแม่ทัพยังอยู่ร่วมงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”
“ดี เจ้าจำได้หรือไม่ว่าฮูหยิน คุณหนูจวนใดบ้างที่เอ่ยถากถางท่านแม่ข้า”
เสี่ยวซีจดจำตามที่หรูอวี้ย้ำเตือนไปในตอนแรก นางจึงได้ร่ายรายชื่อคนทั้งหมดออกมาจนหรูอวี้ขมวดคิ้ว เพราะมันมีจำนวนไม่น้อยเลย
“เยอะเพียงนี้เลย” นางเอ่ยเสียงเย็นออกมา
“คนที่อยู่เบื้องหลังเห็นจะเป็นฮูหยินท่านเจ้าเมืองและบุตรสาวของนาง บ่าวได้ยินบ่าวในจวนท่านเจ้าเมืองพูดกัน ว่าท่านเจ้าเมืองอยากให้บุตรสาวของตน แต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ อ้อ...อีกคนดูเหมือนจะเป็นฮูหยินคหบดีใหญ่ในเมืองสู่ตง นางก็อยากให้บุตรสาวของนางแต่งเข้าเป็นอนุตามบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองไปด้วยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวซีมองคุณหนูของตนอย่างชื่นชม คุณหนูนางคงเป็นเซียนทั้งเรื่องมิติที่นางมี ไหนจะเรื่องที่คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าจะมีคนกล่าวหามารดาของนาง
“หึ เรื่องนี้คงเตรียมการกันไว้แล้ว ถึงได้เอ่ยชวนท่านแม่ของข้าไปร่วมงานด้วย จวนท่านเจ้าเมืองอยู่ที่ใด” หรูอวี้เคาะนิ้วกับโต๊ะ นางลูบแขนข้างที่บาดเจ็บเบาๆ
เสี่ยวซีบอกทิศทางจวนท่านเจ้าเมือง หากต้องเดินทางจากโรงเตี๊ยมไป และจวนของคหบดีกับหรูอวี้ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าคุณหนูต้องการจะรู้เรื่องนี้ไปเพื่ออันใด
แต่ยังดีที่นางนึกถึงคำพูดของคุณหนู จึงได้เอ่ยถามสาวใช้ของคหบดีว่าจวนของพวกนางอยู่ตำแหน่งใด ด้วยเสี่ยวซีเป็นคนช่างพูด จึงไม่มีผู้ใดสงสัยในสิ่งที่นางถาม
อีกอย่างนางยังบอกอีกด้วยว่า หากอยู่ต่ออีกหลายวันอาจจะแวะไปเที่ยวหาพวกนางถึงที่จวน ที่พวกนางยอมบอก เพราะเสี่ยวซีมากับขบวนเดินทางของท่านแม่ทัพจ้าว จึงคิดว่าจะเป็นการดีหากท่านแม่ทัพจ้าวสนใจคุณหนูของพวกนาง
“เอาล่ะ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้า บอกท่านแม่ว่าข้าส่งเจ้ามาอยู่ด้วย ตัวข้าจะเข้าไปอยู่ภายในมิติ แล้วคืนนี้เจ้ากลับไปพักได้เลย”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวซีถอยออกไปด้านนอกทันที เมื่อเอ่ยฟ้องเรื่องทั้งหมดเสร็จ
หรูอวี้ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างครุ่นคิด นางไม่สนใจว่าท่านแม่ทัพจะพึงใจกับคุณหนูจวนใด แต่นางต้องการจะเอาคืนพวกนางที่ทำให้มารดาของนางเสียหน้ามากกว่า
ฟ้าด้านนอกเริ่มจะมืดลง หรูอวี้ที่นอนนิ่งมองเพดานอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำแทน
นางเร้นกายออกมาจากห้องพัก ไปที่ด้านหลังของเรือน ประตูด้านหลังสามารถทะลุออกไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งได้
“ผู้ใด” เสียงเย็นเหยียบเอ่ยถามขึ้น ทำให้หรูอวี้ชะงักนิ่งอยู่กับที่
‘ซวยนัก’ นางสบถอยู่ภายในใจ
เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของจ้าวลู่ฉือที่แอบออกมาจากจวนท่านเจ้าเมือง เขาคิดจะใช้ประตูด้านหลังเพื่อกลับเข้าที่พัก แต่ไม่คิดว่าจะพบบุคคลน่าสงสัยเข้า
มือของเขากำอยู่ที่ด้ามดาบแน่นด้วยความเตรียมพร้อม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางป่า ทำให้เขาจัดเวรยามไว้อย่างแน่นหนาเพิ่มขึ้น แต่ไม่คิดว่าคืนนี้จะมีคนบุกเข้ามาได้
หรูอวี้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ ได้แต่ยืนนิ่งอย่างครุ่นคิด นางจะใช้วิธีใดที่จะหลบเลี่ยงออกไปจากตรงนี้ เพื่อให้พ้นสายตาของเขาได้
“ข้าถามว่าผู้ใด หากไม่ยอมเผยตัว อย่าหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน” ดูจากรูปร่างบุคคลที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้เป็นสตรีอย่างแน่นอน
หรูอวี้เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ แต่ใบไม้ไม่ได้หนาพอจะให้นางกระโดดขึ้นไปซ่อนตัว แม้แต่กำแพงก็อยู่ห่างจากนางมากเกินไป นางหลับตาแน่นพร้อมทั้งใช้หัวกระแทกต้นไม้เบาๆ อย่างหัวเสีย
แต่เหมือนว่านางจะนึกสิ่งใดได้ หรูอวี้หายตัวเข้าไปในมิติทันก่อนที่จ้าวลู่ฉือจะเดินเข้ามาดูที่ด้านหลังต้นไม้
“หรือว่าข้าตาฝาด” เขามองต้นไม้ตรงหน้าอย่างมึนงง
วันนี้เขาดื่มสุราเข้าไปไม่น้อย หากจะบอกว่าตนเองเมาเสียมองเห็นเงาต้นไม้เป็นคนก็คงไม่ใช่ ไม่ว่าจะดื่มมากเพียงใด คนที่คอทองแดงเช่นเขา ย่อมไม่เมามายจนตาพร่ามองผิดได้อย่างแน่นอน
จ้าวลู่ฉือก้มมองที่พื้นดินตรงโคนต้นไม้ เมื่อเห็นรอยรองเท้าเล็กๆ เขาก็ยกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“หึ” เขาเดินออกจากต้นไม้หามุมลับตาที่บังตัวเขามิด แล้วนั่งรออย่างเงียบๆ
หรูอวี้ที่หายตัวเข้าไปในมิติคำนวณเวลาว่าด้านนอกคงผ่านไปสักหนึ่งก้านธูปแล้วนางก็ออกมาด้านนอก ไม่ว่าจะหายเข้ามิติที่จุดใด เมื่อออกมาอีกครั้งนางก็จะปรากฏตัวมาอยู่ที่จุดเดิม
“หึ คิดว่าจะอยู่รอจับตัวข้าเสียอีก” นางพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูด้านหลังของโรงเตี๊ยม
“จะไปที่ใด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีต้นไม้ให้นางหลบซ่อนแล้ว ทั้งจ้าวลู่ฉือยังปรากฏตัวโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว จึงหลบเขาไม่พ้น
“เฮ้ยยย” นางสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมทั้งมองมาทางจ้าวลู่ฉือย่างไม่พอใจ
“ค่ำมืดเช่นนี้ เจ้ายังจะไปที่ใด” เขาเอ่ยย้ำ พร้อมทั้งเดินเข้ามาหานางอย่างช้าๆ เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ยอมบอกได้ดีว่านางคงไม่ได้เดินออกมาจากเรือนเพื่อชมแสงจันทร์อย่างแน่นอน
“ข้ามาเดินเล่น” นางเอ่ยตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
“หึ ผู้ใดจะเชื่อเจ้า เสื้อผ้าของเจ้าเหมือนกับจะไปปล้นผู้ใดเสียมากกว่า” หรูอวี้ถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์