หรูอวี้ที่นอนหลับอย่างไร้สติ นางมารู้สึกตัวอีกครั้งฟ้าก็เกือบมืดแล้ว ภายในห้องยามนี้มีเพียงเสี่ยวซีที่นอนฟุบหมอบอยู่ข้างเตียงของนาง
“เสี่ยวซี” นางเอ่ยเรียกเสี่ยวซีด้วยเสียงแหบแห้งของนาง
เสี่ยวซีที่นอนระวังตัวอยู่แล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาจุดเทียนเพื่อเพิ่มความสว่างภายในห้อง นางเพิ่งจะเอนหลังนอนพักเอาแรงได้เพียงครู่เดียว คุณหนูของนางก็รู้สึกตัวเสียแล้ว
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว เป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ” เสี่ยวซีรีบเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
“น้ำ” คอของนางแทบจะเป็นผง ยามนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดเห็นทีจะเป็นน้ำ
เสี่ยวซีรินน้ำอุ่นให้ดื่มอย่างใส่ใจ นางช่วยพยุงหรูอวี้ลุกขึ้นพิงหัวเตียงเพื่อป้อนน้ำ
“คนอื่นเล่า” หรูอวี้มองไปรอบๆ ห้อง นางเพิ่งจะรู้ตัวว่ายามนี้มิได้อยู่ในกระโจมกลางป่าอีกแล้ว
“ฮูหยินกับคุณชายล้วนแต่เพิ่งจะแยกย้ายไปพักเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการให้บ่าวไปเรียกให้หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง เจ้าเองก็ไปพักเถิด ประเดี๋ยวข้าก็จะนอนต่อแล้ว”
“คุณหนูทานอะไรก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” หรูอวี้นางยังไม่ได้ดื่มกินอันใดเลย นอกจากยาที่เสี่ยวซีค่อยๆ ป้อนให้ระหว่างที่นางยังไม่ได้สติ
“อืม ไปยกมาเถิด”
หรูอวี้กินข้าวต้มที่เสี่ยวซีนำมาให้ลงไปครึ่งชาม ก่อนจะกินยาของนางเองตามลงไป
“เจ้าไปพักเถิด ข้าจะนอนต่อแล้ว”
“แต่คุณหนูยังมิได้กินยาเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซีประคองถ้วยยาที่นางต้มไว้ส่งให้หรูอวี้
ถ้วยยาที่มีน้ำสีดำส่งกลิ่นไม่ชวนดื่มจ่ออยู่ตรงหน้าของหรูอวี้ นางก็แทบอยากจะอาเจียนเอาข้าวต้มที่เพิ่งจะกินไปเมื่อครู่ออกมาเสียทั้งหมด
“ข้ามียาของข้า ยาของเจ้าข้ากินไม่ลงหรอก” นางดันถ้วยยาออกให้พ้นหน้าของนาง
“สิ่งที่ท่านเพิ่งกินเข้าไปเป็นยาหรือเจ้าคะ บ่าวคิดว่าเป็นของหวานเสียอีก”
“หึหึ เจ้าไปพักได้แล้ว เอาถ้วยยาของเจ้าไปด้วย” หรูอวี้เอ่ยเตือน เมื่อเห็นเสี่ยวซีทำท่าจะวางถ้วยยาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงของนาง
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซีช่วยประคองหรูอวี้ให้นอนลง ก่อนจะช่วยเหน็บผ้าห่มให้นาง แล้วถอยออกไปพักที่ห้องด้านข้าง
หรูอวี้ลืมตานิ่งมองเพดานห้อง ก่อนจะเหลือบมองไปที่หน้าต่างห้อง ภายในมือของนางยามนี้ปรากฏอาวุธลับที่เรียกออกมาจากในมิติ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีขว้างออกไปทางหน้าต่าง
“หึ ยังมีแรงเหลืออีกรึ” จ้าวลู่ฉือเอ่ยถามออกมา
ก่อนจะเปิดหน้าต่างห้องของนาง แล้วพิงมองเข้ามาด้านใน
“ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะใส่ใจข้าถึงเพียงนี้” หรูอวี้อดจะถากถางเขาออกมาไม่ได้
“เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง ต้องให้ตามหมออีกหรือไม่”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าดีขึ้นมากแล้ว พักอีกสองวันก็พร้อมออกเดินทางได้เลย” นางก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงทำให้การเดินทางล่าช้าเพิ่มขึ้นไปอีก
“เช่นนั้นก็ดี แต่ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสักเรื่อง” เขามองมาที่นางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย
“ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ” จะได้รีบไปเสียที นางอยากจะนอนต่อแล้ว
“เจ้าหายตัวไปได้เช่นใด แล้วยังคนอื่นในครอบครัวของเจ้าด้วยเหตุใดถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย”
เมื่อมาคิดดูแล้ว เป็นหรูอวี้นางหายตัวไปก่อน ตอนที่อยู่ในกระโจมของเขา และนางก็โผล่กลับมาที่เดิมอีกครั้ง และในตอนที่คนภายในกระโจมตู้เหลียนหายไปทั้งหมด ล้วนแล้วแต่มีนางอยู่ด้วย
“ไว้ท่านได้เป็นบิดาข้าเมื่อใด ข้าจะบอกเรื่องนี้ก็แล้วกัน” นางจะบอกเรื่องความลับของนางกับเขาที่เป็นคนนอกได้อย่างไร
“เพ้ย เจ้านี่มัน!!! ข้าเคยบอกรึว่าอยากเป็นบิดาของเจ้า”
“ผู้ใดจะรู้เล่า แล้วท่านมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ข้าต้องการพักแล้ว”
“ไม่มี แต่เจ้ากับครอบครัวของเจ้าไม่ควรหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ อย่าลืมว่าความปลอดภัยของพวกเจ้าสามคนแม่ลูก ข้ากับทหารมีส่วนต้องรับผิดชอบ”
หรูอวี้หันไปมองทางเขา “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับเสียงเบา ก่อนจะโบกมือให้เขาปิดหน้าต่าง ด้วยลมยามเย็นทำให้นางหนาวอยู่ไม่น้อย
จ้าวลู่ฉือเห็นนางกระชับผ้าห่มขึ้นคลุมร่าง ก็เข้าใจในความหมายของนาง ก่อนจะปิดหน้าต่างแล้วถอยออกไป หรูอวี้หลับลงแทบจะในทันที
ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการจะมาแอบฟังสิ่งที่นางและสาวใช้พูดคุยกัน แต่คนส่งสารเรียกเขาให้มาพบที่ด้านหลังเรือน พอเดินกลับจึงคิดจะเอ่ยถามนางว่าเป็นเช่นใดบ้าง แต่ก็ถูกอาวุธที่นางขว้างออกมาเข้าเสียก่อน
หรูอวี้หลับสนิทจนถึงตอนเช้า พอได้พักเต็มที่ถึงสองวัน ร่างกายของนางก็ฟื้นตัวขึ้นไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะยาที่อยู่ในห้องทำงานของนางด้วย ทำให้นางกลับมาแข็งแรงได้เร็วยิ่งขึ้น
“คุณหนู วันนี้สีหน้าของท่านดีขึ้นไม่น้อย” เสี่ยวซีที่เดินเข้ามาดูหรูอวี้ภายในห้อง กล่าวออกมาอย่างดีใจ
“อืม ข้าดีขึ้นมากแล้ว ท่านแม่กับท่านพี่เล่า”
“กำลังรับมื้อเช้ากับท่านแม่ทัพจ้าวอยู่เจ้าค่ะ คุณหนูจะรับอาหารเลยหรือไม่ บ่าวจะได้ไปยกเข้ามา”
“อืม ไปเถิด”
หรูอวี้นางได้แต่พักเอาแรงกินนอนเพื่อให้แผลของนางดีขึ้น โดยที่ไม่ได้ออกไปออกห้องพักเลย จึงไม่รู้ว่าวันนี้ที่จวนท่านเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงต้อนรับจ้าวลู่ฉือ
“อวี้เออร์ น้องอยากไปด้วยหรือไม่” ตู้หยวนเอ่ยถามหรูอวี้ ด้วยกลัวว่านางจะเบื่อที่ต้องอยู่เพียงในเรือนพักเท่านั้น เพราะเขาและมารดาต้องเดินทางไปร่วมงานในวันนี้ด้วย
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบงานรื่นเริง”
“เช่นนั้นเจ้าก็พักต่ออีกสักนิดเถิด ดูท่าอีกสองวันคงต้องออกเดินทางแล้ว” ตู้หยวนเห็นสีหน้าของน้องสาวดีขึ้นเขาก็เบาใจ
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ดูแลท่านแม่ด้วย ให้เสี่ยวซีตามไปด้วยอีกคนเถิด”
“หากเสี่ยวซีไปกับท่านแม่ ผู้ใดจะอยู่ดูแลเจ้า”
“ท่านว่าข้าต้องมีใครดูแลหรือไม่ ไปเถิดเจ้าค่ะ” ตอนนี้ร่างกายของนางฟื้นตัวแล้ว ไหนจะบาดแผลก็สมานกันดีจนไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง
“ได้ ข้าจะไปบอกกล่าวท่านแม่เอง”
ตู้เหลียนมาหาหรูอวี้ก่อนที่จะออกไปร่วมงานที่จวนท่านเจ้าเมือง นางประหม่าอยู่ไม่น้อย ด้วยมิได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงด้านนอกนับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเซี่ย
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้กังวล เป็นถึงจวนท่านเจ้าเมืองคงไม่เกิดเรื่องใดขึ้น อีกอย่างเขาก็เป็นคนมาเชิญท่านด้วยตนเอง”
“แม่เข้าใจแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเสียนาน จึงทำให้ประหม่าไม่น้อย”
“ท่านแม่ทัพคงไม่ปล่อยให้ผู้ใดกล่าวหาท่านได้กระมัง ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย” นางรู้ดีว่ามารดานางกลัวจะถูกสายตาของคนอื่นดูแคลนเรื่องที่ถูกหย่าร้างจนต้องพาบุตรทั้งสองกลับบ้านเดิม
“แม่บอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ออกมาอีก แม่ไม่อยากให้ผู้ใดเข้าใจท่านแม่ทัพผิดไป” ตู้เหลียนสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ออกมา
“เจ้าค่ะ”
หรูอวี้ลุกไปส่งมารดาที่หน้าเรือนของนาง ก่อนจะดึงตัวเสี่ยวซีให้เข้ามาหาเพื่อสั่งความกับนางไว้
“เสี่ยวซี หากมีผู้ใดเอ่ยตำหนิหรือดูแคลนท่านแม่ เจ้าจำชื่อแซ่ของพวกนางไว้แล้วกลับมาบอกข้า เข้าใจหรือไม่”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วอย่าได้ห่างจากมารดาข้าเด็ดขาด” ในเมื่อนางไม่ได้ไปด้วยอย่างไรก็ไม่วางใจ
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซีรีบรับคำแล้วเดินตามตู้เหลียนไปทันที เมื่อท่านแม่นมตู้เอ่ยเร่งนางแล้ว
จ้าวลู่ฉือมองมาทางหรูอวี้ที่ยืนส่งมารดาวูบหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตาแล้วเดินนำออกไปด้านหน้าของโรงเตี๊ยม