เช้าวันใหม่มาถึง ตู้เหลียนเห็นเสี่ยวซียังมิได้ออกมาจากห้องของหรูอวี้ก็เดินเข้ามาดูนาง ก็เห็นว่าเสี่ยวซีกำลังเช็ดตัวอีกรอบให้หรูอวี้อย่างใส่ใจ
“เป็นเช่นใดบ้าง” นางเดินมานั่งข้างเตียง พอนิ้วมือสัมผัสร่างกายของบุตรสาว ตู้เหลียนก็ต้องสะดุ้งออกมา เมื่อตัวของนางร้อนดั่งกับไฟ
“ไข้ไม่ลดเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซีเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา นางกลัวว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้คุณหนูของนางอาจจะแย่ได้
“ต้องออกไปด้านนอก เพื่อพานางไปหาหมอ” ตู้เหลียนไม่รู้จะหาวิธีออกไปได้อย่างไร เพราะมีเพียงหรูอวี้เท่านั้นที่พาทุกคนเข้าออกอยู่เสมอ
นางจำต้องเขย่าตัวปลุกหรูอวี้ให้รู้ตัว นานกว่าหนึ่งก้านธูปหรูอวี้นางจึงค่อยๆ เผยอเปลือกตาที่หนักอึ้งของนางขึ้น
“อวี้เออร์ เจ้าต้องพาทุกคนออกไปด้านนอกเสียก่อน” ตู้เหลียนมองบุตรสาวที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้อย่างปวดใจ
“เจ้าค่ะ เรียกทุกคนมาเถิด” เสียงของนางแหบแห้งจนเกือบจะฟังไม่รู้เรื่อง
เสี่ยวซีรีบไปตามแม่นมตู้และตู้หยวนเข้ามาภายในห้องของหรูอวี้ทันที
“ยา” หรูอวี้พยายามหันไปหายาที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของนาง
“นี่ใช่หรือไม่” ตู้เหลียนรีบลุกขึ้นไปหยิบยาที่วางอยู่หลายเม็ดมาส่งให้หรูอวี้ดู
เมื่อเห็นนางพยักหน้า ตู้เหลียนจึงส่งยาเข้าปากของนางทีละเม็ดอย่างใส่ใจ ก่อนจะส่งน้ำตามให้ดื่ม
“จับมือข้า” พอทุกคนเข้ามาถึงภายในห้อง นางก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา
ตู้หยวนเดินเข้าไปอุ้มน้องสาวไว้ในอ้อมอก ก่อนที่หรูอวี้นางจะพาทุกคนออกจากมิติทันที
“...”
“...” จ้าวลู่ฉือที่รออยู่ด้านในกระโจม มองไปที่กลุ่มคนที่เพิ่งจะโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้าของเขา
ตู้หยวนไม่รู้จะเอ่ยเช่นไร จึงได้แต่พาน้องสาวไปวางนอนลงบนเตียงเช่นเดิม ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อกลับกระโจมของตนเอง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ปล่อยให้มารดาเป็นผู้รับหน้าไปแทน
“เอ่อ...ท่านแม่ทัพ ท่านมีอันใดหรือไม่เจ้าคะ” ตู้เหลียนไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดเช่นกัน จึงได้ถามออกไปเช่นนั้น
“นางเป็นเช่นใดบ้าง ให้ตามหมอมาดูอาการดีหรือไม่” จ้าวลู่ฉือก็ไม่รู้จะเอ่ยถามเช่นไรดี เขายังตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หาย
“เอ่อ...ใช่ ใช่แล้ว อวี้เออร์นางมีไข้สูง รบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูนางด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าที่ออกมาจากในมิติก็ด้วยต้องการให้หมอมาตรวจหรูอวี้
จ้าวลู่ฉือ เดินออกจากกระโจมไปแจ้งนายทหารที่อยู่ด้านหน้าให้ไปตามท่านหมอที่ยังอยู่ที่นี่มิได้เดินทางกลับเข้าเมืองไป
ตัวของหรูอวี้มิได้ร้อนดั่งไฟเช่นในตอนแรกแล้ว หลังจากที่นางกินยาของนางเข้าไปก็ดูเหมือนไข้จะลดลงไม่น้อยแล้ว
“บุตรสาวของข้านางเป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ” ตู้เหลียนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“พิษไข้ที่คุณหนูได้รับเกิดจากบาดแผลของนาง เอ่อ...ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนทำแผลให้คุณหนูขอรับ” ท่านหมอที่ตรวจดูบาดแผลก็อดที่จะทึ่งกับฝีมือเย็บไม่ได้
ด้วยในยุคนี้การเย็บแผลยังไม่ให้พบเห็นมากนัก เรียกได้ว่ามีหมอในแคว้นเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่จะทำได้ และเขาไม่เชื่อว่าหมอที่มีชื่อเสียงจะอยู่ภายในขบวนด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริง ต้องมารักษาอาการป่วยให้หรูอวี้นางแล้ว
“เอ่อ...เรื่องนี้” ตู้เหลียนก็ยังไม่ได้ถามหรูอวี้ถึงเรื่องบาดแผลจึงตอบไม่ได้ แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นบุตรสาวของนางที่จัดการด้วยตนเอง
“ท่านหมอที่รักษาแผลให้นาง เพียงผ่านทางมาเท่านั้น ยามนี้ได้เดินทางต่อไปแล้ว” จ้าวลู่ฉือเอ่ยแก้ต่างให้แทน
“น่าเสียดายนัก แคว้นฉีข้าไม่เห็นหมอคนใดที่จะเย็บบาดแผลเช่นที่อยู่บนตัวของคุณหนูได้เลย” เขาเคยเห็นวิธีการเย็บเช่นนี้จากตำราเท่านั้น แต่ก็มีข้อห้ามไม่น้อย จึงทำให้ยังไม่มีผู้ใดที่จะกล้านำวิธีการนี้มาใช้ในการรักษาให้ชาวบ้าน
ท่านหมอส่งเทียบยาให้กับตู้เหลียนก่อนจะขอตัวไปตรวจดูนายทหารคนอื่นที่ยังรักษาไม่เรียบร้อย
“อาเหลียน ข้าตั้งใจจะเข้าไปพักในเมือง หากยังอยู่ที่นี่เห็นทีจะไม่สะดวกนัก” จ้าวลู่ฉือไม่รู้ว่ามือสังหารจะย้อนกลับมาหรือไม่ ทั้งยังเป็นการดีเสียกว่าหากจะให้คนเจ็บไปอยู่ใกล้หมอ
“ท่านแม่ทัพจ้าว ท่านเดินทางล่วงหน้ากลับชายแดนเหนือไปก่อนดีหรือไม่ ข้ากลัวว่าหากให้อวี้เออร์นางออกเดินทางยามนี้ นางจะยิ่งแย่ไปใหญ่เจ้าค่ะ” นางมองไปที่หรูอวี้ที่หลับสนิทอย่างเป็นกังวล
ไม่รู้ว่าการเคลื่อนย้ายนางในยามนี้ จะยิ่งกระทบกับบาดแผลของนางหรือไม่ แต่นางที่ต้องอาศัยเดินทางร่วมกับขบวนของจ้าวลู่ฉือ ก็ไม่อาจจะให้นางกับลูกเป็นตัวถ่วงได้
“เจ้าอย่าได้กังวล เรื่องงานของข้าทางชายแดนเหนือล้วนมีคนจัดการดูแลให้ ข้าได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ดูแลเจ้ากับลูกจนถึงมือท่านอาจารย์ตู้จะละเลยหน้าที่ได้อย่างไร อีกอย่างทหารของข้าก็บาดเจ็บกันไม่น้อย อย่างไรก็มิอาจเร่งเดินทางได้”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” ตู้เหลียนมองจ้าวลู่ฉืออย่างซึ้งใจ
“เช่นนั้นก็ให้คนของเจ้าเร่งเก็บของเถิด จะได้รีบออกเดินทาง”
“เจ้าค่ะ”
จ้าวลู่ฉือ ออกไปสั่งคนของตนให้เร่งเก็บกระโจมเพื่อเดินทางเข้าไปพักในเมือง ทั้งยังส่งคนให้ออกไปจัดหาที่พักที่อยู่ไม่ห่างจากโรงหมอโดยเร็วอีกด้วย
ตู้หยวนจัดการเรื่องข้าวของขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็มาอุ้มหรูอวี้ขึ้นไปนอนบนตั่งภายในรถม้า ทุกการกระทำของเขาล้วนแต่เชื่องช้าด้วยกลัวว่าจะกระทบถึงบาดแผลของหรูอวี้ให้ยิ่งแย่ไปใหญ่
จ้าวลู่ฉือหยุดมองดูจนแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาก็ร้องสั่งให้ขบวนทั้งหมดออกเดินทาง การเคลื่อนขบวนรถม้าครั้งนี้มิได้เร่งรีบ ทำให้กว่าจะเดินทางถึงภายในเมืองก็ล่วงเข้าไปถึงสองชั่วยามด้วยกัน
ทหารของจ้าวลู่ฉือจัดหาที่พักไว้อย่างเรียบร้อย เป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ภายในเมือง ด้านหลังมีเรือนพักขนาดห้าห้อง จ้าวลู่ฉือยกทั้งเรือนให้ตู้เหลียนและบุตรของนางได้พักผ่อน ทางเข้าออกภายในเรือนทั้งหมดมีทหารเฝ้ายามอย่างแข็งขัน
ท่านเจ้าเมืองรู้ว่าแม่ทัพจ้าวหยุดแวะพักที่เมืองสู่ตงเป็นเวลาหลายวันก็มาพบเขาเพื่อชวนไปพักที่จวนของตนเอง
“เห็นทีจะไม่เหมาะสม หากมีเพียงตัวข้าก็มิเป็นอันใด แต่มีแม่นางตู้และบุตรของนางมาด้วย จึงเห็นว่าจะสร้างความยุ่งยากให้ท่านไม่น้อย”
“ได้อย่างไรกันเล่าท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพหยุดแวะที่เมืองสู่ตง ข้าน้อยย่อมต้องจัดเตรียมที่พักให้ท่านถึงจะถูก” ท่านเจ้าเมืองสู่ตง อยากจะหาทางผูกสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ที่ยังไร้ฮูหยินข้างกาย ย่อมต้องการให้เขาไปพักถึงที่จวนของตน เพื่อว่าจะถูกใจบุตรสาวสักคนของเขาเข้า
“ไว้โอกาสหน้าเถิด ครั้งนี้เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ที่ต้องการให้ข้าคุ้มครองแม่นางตู้จนถึงเมืองเป่ยหาน” สีหน้าของเขาเรียบเฉยไร้ความยินดียินร้ายใดๆ
“หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ข้าน้อยก็มิบังอาจล่วงเกินได้แล้ว แต่ว่าข้าน้อยต้องเลี้ยงต้อนรับท่านสักครา เรื่องนี้อย่าได้ปฏิเสธเล่าขอรับ”
จ้าวลู่ฉือ เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิด หากจำไม่ผิดเจ้าเมืองสู่ตงเป็นญาติห่างๆ ของเสนาบดีสวี เพียงแต่คนละแซ่กัน
“ได้ อีกสองวันก็แล้วกัน ข้ามีคนป่วยมาด้วย รอให้อาการดีขึ้นอีกหน่อยข้าถึงจะวางใจ” เขาเอ่ยออกไปเช่นนั้น ความจริงแล้วจ้าวลู่ฉือ ส่งคนของตนให้ออกไปสืบข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จึงอยากจะรอฟังข่าวเสียก่อน