ไอยดากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าหาชายร่างสูงโปร่ง เขาหันมาตามเสียงเรียก
แดนสรวงหันมาตามเสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคย เกือบสองปีแล้วสินะที่เขาไม่ได้ยินเสียงเรียกนี้ เขาคิดถึงเสียงนี้เหลือเกิน ใบหน้าหล่อคมหันมามองพร้อมเบี่ยงกายเอี้ยวตามาตามเสียงเรียกอย่างเต็มตัว
ทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่หน้ารั้วไม้คล้องโซ่กุญแจ
เพียงสองปีที่เขาไปเรียนต่อต่างประเทศเธอโตขึ้นมาก เรียกว่ามากกว่าที่คิดไว้
เธอเป็นสาวแล้ว สวยมากด้วย
รอยยิ้มกว้างปรากฎบนใบหน้าชายหนุ่มที่เธอเรียกเขาว่าคุณแดน แต่รอยยิ้มนั้นกลับหุบลงทันควันเหมือนดอกไม้ถูกน้ำร้อนลวก สายตาของแดนสรวงวูบไหวเจือแววตาเจ็บปวด เขามองไอยดาตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอสวมเสื้อผ้าผู้ชาย ทั้งเสื้อคลุมและกางเกงขาสั้นนั่นด้วย ความรู้สึกเจ็บปวดซึมแทรกขึ้นมาในหัวใจเขาเหมือนน้ำหมึกหยดลงบนกระดาษสีขาว มันแผ่ซ่านกระจายเป็นวงกว้าง ทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งหัวใจ
แดนสรวงฝืนยิ้ม
"ไม่เจอนานเลยนะตัวเล็ก เป็นไงบ้าง"
"สบายดีค่ะ" ไอยดาก้มหน้า
"ทุกครั้งที่เราไม่สบายใจเราจะทำท่าแบบนี้ หัดโกหกพี่แดนเหรอคะสไมล์" เขาเห็นเธอบีบมือเข้าหากันแน่น ไอยดามักบีบนิ้วโป้งเข้ากับนิ้วชี้จนมือสั่นแบบไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เธอกังวลใจเธอจะทำกิริยาแบบนี้เสมอ
"พี่แดนรู้"
"เรารู้จักกันมาเกือบสิบปีแล้ว อย่าโกหกพี่เลยค่ะ"
"เอ่อ...ใช่ค่ะ สไมล์มีเรื่องกังวลใจ แต่ตอนนี้คลี่คลายไปบ้างแล้ว สไมล์จะเล่าให้ฟังวันหลังนะคะ วันนี้ต้องรีบมาเปลี่ยนชุด สไมล์มีเรียนเช้าค่ะ" เธอค้นกระเป๋าสะพายใบเล็กหากุญแจเปิดเข้าบ้าน
ร่างเล็กเปิดประตูเข้าไปในบ้าน มือเรียวขาวเอื้อมไปเปิดแม่กุญแจปลดโซ่ออก แดนสรวงช่วยเธอเปิดประตูรั้วออกกว้าง
ไอยดาหันกลับมามองหมอเธียรนั่งอยู่ในรถ เขากำลังจ้องมองเธออยู่ ทำหน้าเหมือนอารมณ์บูดหรือไม่ก็เหมือนคนไม่ขับถ่ายมาสามวันติดกัน ไม่รู้เขาเป็นอะไร เมื่อครู่ยังเย้าแหย่เธอมาสุดทาง
เธอเดินกลับออกมาที่รถ มีแดนสรวงเดินตามมา เขายืนอยู่ที่รถของตัวเอง มองไอยดาก้มลงคุยกับคนในรถยุโรปสีดำเคลือบแก้วเงาวับ
'คงเป็นแฟนเธอ'
แดนสรวงยังสำรวจท่าทีที่ทั้งสองคนคุยกันอย่างวิเคราะห์ เธอไม่ได้สนิทกับคนในรถถึงขนาดนั้น ยังมีแววตาตื่นตระหนักปนเกรงใจเมื่อก้มคุยกับผู้ชายในรถ
"เดี๋ยวค่อยมารับสไมล์ตอนเย็นนะคะหมอเธียร สไมล์ไปแท็กซี่ได้ค่ะ" ไอยดาก้มลงคุยกับหมอเธียร
"....." หมอเธียรไม่ตอบ มองหน้าไอยดาสลับกับหน้าแดนสรวง
"หมอเธียร ได้ยินมั้ยคะ"
"ไอ้เวรนั่นมันเป็นใคร" คุณหมอเธียรไทยเอ่ยเสียงต่ำพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ
"หมอเธียรไม่รู้จักเค้า ดันไปเรียกเค้าแบบนั้น เป็นคนแบบไหนกัน" เธอขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจ
"แล้วมันเป็นใคร"
"คุณแดนสรวง เป็นพี่ที่รู้จักสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก พี่แดนเป็นลูกของคุณนายภารนีเจ้าของบ้านเช่า"
"....." เธียรไทยมองหน้าเด็กสาวก่อนกดสวิตช์ออโต้เลื่อนกระจกขึ้น กระจกสีเกือบดำสนิทแทบมองไม่เห็นค่อยเคลื่อนปิดกั้นกลางระหว่างใบหน้าเขาและเธอ
หมอเธียรไม่เข้าใจอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ รู้แค่ว่าไม่อยากเห็นหน้าเธอ
'สไมล์เรียกไอ้หน้าหล่อนั่นว่าพี่แดน'
คุณหมอถอยรถ กลับรถที่ซอยด้านข้างแล้วเหยียบออกไปอย่างเร็ว ไอยดาได้แต่มองตามหมอเธียร
'เอ๊า เป็นบ้าอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หกเดือนต่อไปนี้ฉันจะเป็นไบโพล่ารึเปล่า อีตาหมออย่างกับคนผีเข้าผีออก'
เธอเดินกลับเข้ามาในบ้าน มีแดนสรวงเดินตามเข้ามาติด ๆ
"มีเรื่องอะไรบอกพี่ได้มั้ย" แดนสรวงคว้าข้อมือสไมล์ไว้
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" เธอหน้าเศร้า
"ไม่มีงั้นเหรอ ทำไมต้องทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ด้วย" เสียงนุ่มของแดนสรวงถามเธอ มองเห็นความกังวลเจืออยู่ในแววตาเธออย่างเต็มเปี่ยม
"ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เรื่องคลี่คลายแล้ว"
"อย่าโกหกพี่สิคะสไมล์ พี่ถามแม่ค้าแผงใกล้กัน รู้เรื่องหมดแล้ว พี่เป็นห่วงเราที่ต้องนอนบ้านคนเดียวเลยมาดูตั้งแต่เมื่อคืน" แดนสรวงรู้สึกจุกเมื่อพูดประโยคหลัง เขารู้ว่าเธอไม่ได้นอนที่นี่
"แม่ถูกรถชนค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลเอมเมอร์ราจค่ะ คุณหมอเธียรไทยช่วยค่ารักษาแม่"
"คุณเธียรเป็นอะไรกับเรา เป็นแฟนเราเหรอสไมล์"
"มะ ไม่ใช่ค่ะ เอ่อ..." เธอไม่รู้จะตอบยังไง
"พี่จะไม่เซ้าซี้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของสไมล์กับหมอเธียรคืออะไร พี่กลับมาแล้ว พี่อยู่ตรงนี้ ยินดีให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง"
"ขอบคุณค่ะพี่แดน"
ไอยดาแหงนหน้ามองคนตัวสูงตรงหน้า ม่านน้ำตามันรื้นขึ้นมาจนไม่อาจมองเห็นหน้าคุณแดนสรวงได้ชัดเจน
เกือบสองปีที่พี่แดนสรวงกลับไปเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ เธอไม่ได้เจอเขาอีกเลย แต่แดนสรวงยังติดต่อกับเธอผ่านโซเชียลมีเดียเป็นบางครั้ง หรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักผ่านข้อความทางไลน์ คอยให้กำลังใจเธอเสมอ
ทุกอารมณ์ถาโถมกันเข้ามาในความรู้สึกของไอยดา เธอมองไม่เห็นหน้าพี่แดน น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มย้อยลงมาที่คาง แดนสรวงจับข้อมือเธออยู่ ค่อย ๆ ดึงคนตัวเล็กเข้าหาอ้อมกอด
"ร้องไห้บนเสื้อพี่เลยค่ะ พี่จะไม่บอกใคร"
ดวงตาคู่สวยร้องไห้เหมือนเขื่อนแตก ทุกความรู้สึกที่เก็บกลั้นไว้มันพังลงมาพร้อมน้ำตาบนใบหน้า เธอร้องไห้โฮเหมือนเด็กเล็กวิ่งล้มบนพื้นกรวด เหมือนเด็กร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของคุณพ่อ
ฮึก ฮือๆๆๆๆ มีเพียงเสียงร้องไห้จนสะอื้น
แดนสรวงลูบหัวไอยดาอย่างปลอบโยน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เธอระเบิดอารมณ์เศร้าออกมา หน้าขาวเนียนถูไถคราบน้ำตาไปบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าราคาแพง เขาเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ ให้เธอได้ร้องไห้ออกมา
'บางครั้งคนเราอาจไม่ต้องการคำพูดสวยหรู แค่มีใครสักคนปลอบโยนตอนที่ร่างกายและหัวใจเหนื่อยล้าถึงขีดสุด'
เขาเพียงทำหน้าที่เป็นศาลาหลบฝนพายุอารมณ์ให้เธอเท่านั้น
เด็กสาวร้องไห้อยู่ราวสิบนาที เธอนึกขึ้นได้ว่าควรแต่งตัวแล้วรีบไปเรียน เซคนี้อาจารย์ดุมาก เธอขาดไปสองครั้งแล้วด้วย
"สไมล์ต้องไปเรียนค่ะ"
"พี่จะไปส่งนะ"
"เกรงใจค่ะ ไม่เป็นไร"
ไอยดาถอยออกมาจากอ้อมกอด ยืนอยู่ในระยะห่างพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าอ้อมกอดแบบไร้สุ้มเสียงของใครบางคนตอนเราเหนื่อยล้าแทบล้มทั้งยืน มันจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ในหัวใจของเธอ
"ขอบคุณค่ะ พี่แดนกลับไปก่อนนะคะ ส่วนค่าเช่าสไมล์จะโอนเงินให้ค่ะ"
"โฉนดบ้านเช่าหลังนี้เป็นสิทธิ์ของพี่แล้ว คุณแม่โอนที่ดินแถบนี้ทั้งแถบ รวมถึงตึกยี่สิบคูหาในตัวเมืองให้พี่ดูแลแทนทั้งหมด"
"อ่อ..ค่ะ ถ้างั้นหนูจะโอนเข้าบัญชีพี่แดนนะคะ"
"พี่ไม่เก็บค่าเช่าจนกว่าแม่เราจะหายดี"
เธอถอยมายืนมองหน้าแดนสรวง ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
"ขอบคุณมากค่ะ แต่หนูยังพอมีเงินติดบัญชีไว้จ่ายค่าเช่า"
"สไมล์ เราอยู่กันมานานเหมือนเป็นญาติกัน อะไรที่พี่พอช่วยได้พี่ก็อยากช่วย โอนมาพี่จะโกรธจริง ๆ นะ แล้วช็อกโกแลตรูปหมีเท็ดดี้ที่ซื้อมาฝากก็ไม่ต้องเอา"
"ขอบคุณพี่แดนมากค่ะ ถ้าสไมล์มีตังค์หรือทำงานเมื่อไหร่จะจ่ายคืนทั้งต้นทั้งดอกเลยค่ะ" ร่างเล็กยิ้มรับ ไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือ อย่างน้อยเงินจำนวนนี้ที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่าก็สามารถใช้เป็นค่าเดินทางไปมาระหว่างโรงพยาบาลกับที่บ้านได้
"ไปแต่งตัวเถอะ พี่จะไปส่ง"
"ไม่เป็นไรค่ะ สไมล์ไปเองได้"
แดนสรวงยืนมองเธอเข้าบ้านไป เขาเห็นเธอสวมเสื้อผ้าของผู้ชายที่เธอเรียกว่าหมอเธียร เท่านี้ก็คงไม่ต้องอธิบายความสัมพันธ์อื่น
เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ นั่งนิ่งอยู่อีกหลายนาที เมื่อคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับผู้ชายคนนั้น แดนสรวงถึงกับจุกในลำคอ
รถเปิดประทุนหรูขับออกไปจากบ้านไอยดา
เธียรไทยยืนอยู่ในซอยอีกฝั่ง เขาจอดรถไว้ใต้ร่มไม้ในร้านไก่ย่าง หมอเธียรเดินมาแอบดูสองคนนั้นคุยกันอยู่หน้าบ้าน
ภาพที่เธียรไทยเห็นทำให้เขากำมือแน่นจนสั่นไปทั้งแขน
'ไอ้เวรนี่คงเป็นคนโปรดของสไมล์สินะ'