อารัมภบท
ความน่ากลัวของความตาย คือมันมักไม่มีสัญญาณเตือน วินาทีสุดท้ายที่ยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อาจจะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจเราได้เช่นกัน...
“สายแล้ว ๆ ๆ”
รองเท้าคัทชูสีดำเหยียบลงพื้นบันไดเสียงดังสนั่น ก่อนเจ้าของเรือนร่างผอมบางผมสีน้ำตาลประกายทองทิ้งลอนยาวตกกลางหลังในชุดกระโปรงทรงเอผืนสั้นกับเสื้อช็อปสีแดงจะวิ่งหน้าตั้งลงมา
“ก็เห็นสายทุกวัน”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วนผิวเข้มตามฉบับคนใต้ส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มด้วยความเอ็นดู กี่ครั้งแล้วที่ลูกสาวของเขามักวิ่งลงมาจากบันไดด้วยท่าทางเหนื่อยหอบแบบนี้ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เธอมาบ่นย้อนหลังว่าเข้าเรียนไม่ทันเลย
“ไปกันค่ะ วิชานี้สำคัญด้วย โดนดุแน่”
แคลไม่หยุดพูดคุยให้เสียเวลา รีบวิ่งนำทั้งพ่อและแม่ขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ทั้งคู่ก็ไม่ได้อิดออดแต่อย่างใด รีบขึ้นมานั่งประกบข้างพลางยื่นแซนด์วิชส่งให้
“กินข้าวบนรถตั้งแต่อนุบาลจวนจะจบมหาลัยเลยนะ”
ผู้เป็นแม่เอ่ย ก่อนจะเปิดขวดน้ำส้มยื่นส่งให้ ในขณะที่คนตัวเล็กที่นั่งคั่นกลางกำลังฝังเขี้ยวลงแซนด์วิชในมือพลางเคี้ยวตุ้ย ๆ
“ทำงานก็คงจะกินบนรถเหมือนเดิมค่ะ”
“ค่อย ๆ กินสิ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
แม่เอ่ยบอกสีหน้าจริงจัง พลางใช้มือปัดเศษขนมปังที่หล่นลงบนกระโปรงสีดำผืนสั้นออกให้
“เรียนจบแล้วจะทำงานที่นี่ไหม หรืออยากกลับไปบ้านเรา”
นายหัวพลผู้เป็นพ่อหันมาถาม ในขณะที่กำลังไถหน้าจอไอแพดดูข่าวความคืบหน้าที่อยู่ฝั่งภาคใต้ เดิมทีถิ่นกำเนิดของพวกเขาอยู่ที่นั่น แต่แคลเดินทางมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทำให้ทั้งพ่อและแม่ต้องเดินทางมาเยี่ยมเธออยู่บ่อย ๆ
“อืม... ยังไม่รู้เลยค่ะ ขอเวลาอีกหนึ่งเทอมให้แคลตัดสินใจก่อนนะคะ บางทีแคลอาจจะซื้อเกาะที่ภาคใต้แล้วสร้างแหล่งท่องเที่ยวเล็ก ๆ ที่นั่น”
“เล็กอีกแล้ว รอบก่อนก็บอกอยากได้ที่เล็ก ๆ แต่พันไร่มันไม่เล็กนะลูก”
“หึ ๆ พันไร่เอง ระดับนายหัวพลแล้ว จิ๊บ ๆ”
แคลยิ้มร่าปัดมือให้เศษขนมปังหล่น ก่อนจะยกมือขึ้นไปนวดขาเอาใจชายที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ไม่ต้องมาทำทีเอาใจหรอก จะเอากี่เกาะก็ว่ามาเลย พ่อพร้อมสนับสนุน”
เขารั้งหัวลูกสาวคนเล็กเข้าไปหา ก่อนจะจูบลงที่หน้าผากด้วยความเอ็นดูที่เอ่อล้น
“แล้วส่งแคลเสร็จ พ่อกับแม่จะบินกลับนครศรีฯ เลยเหรอคะ”
“ใช่ ช่วงนี้มันไม่ค่อยปกติน่ะแคล ยังไงก็อย่าเพิ่งไปเล่นซนที่ไหนนะ เลิกเรียนเมื่อไหร่ให้รีบกลับหอ พ่อให้ลูกน้องมาช่วยเฝ้าระวังแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
เธอหน้าตื่นขึ้นมาทันที แม้ไม่ค่อยได้กลับบ้าน หรือรู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่ครอบครัวกำลังเผชิญ แต่เธอก็พอได้ยินข่าวคราวคร่าว ๆ ว่าช่วงนี้มีการชิงอำนาจกันเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวเธอมากน้อยแค่ไหน
“ไม่มีอะไรหรอก”
มือเล็ก ๆ ของแม่วางลงบนหัวไหล่บาง พลางกุมมือของแคลเอาไว้แน่น
“มันจะต้องผ่านไปด้วยดี”
ยิ่งได้ยินแบบนี้ เธอยิ่งไม่สบายใจ เพราะมันหมายถึงสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้หนักหนาพอประมาณ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรต่อ รถก็เคลื่อนตัวมาหยุดอยู่หน้าตึกเรียนของเธอเรียบร้อยแล้ว
“ไปเรียนเถอะลูก ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่”
นายหัวพลชูกำปั้นขึ้นชนกับลูกสาว ก่อนที่แคลจะหันไปกอดแม่พลางหลับตาพริ้ม
“แล้วพ่อกับแม่จะมาหาหนูอีกเมื่อไหร่คะ”
“ไม่รู้เลยลูก แต่กลับไปคราวนี้คงอีกนาน กว่าจะได้กลับมาหาอีก”
พ่อถอนหายใจเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอให้เธอได้ยิน
“ไม่เป็นไรค่ะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่!”
เธอส่งกำลังใจกลับคืน ทำเอาทั้งพ่อและแม่ต่างหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าเรียนหรอก”
“จริงด้วย!!”
แคลตาโต รีบหยิบกระเป๋าสะพายแล้วลงไปจากรถ แต่ยังไม่ยอมวิ่งเข้าไปในตึก เพราะยังคิดถึงพ่อกับแม่ไม่หาย เธอโบกไม้โบกมืออำลาในขณะที่ประตูรถตู้ค่อย ๆ ปิด แล้วเคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า จังหวะที่เธอเตรียมจะหันหลังกลับเข้าไป เป็นจังหวะที่เสียงมือถือดังขึ้นพอดี
“ยัยพิกโทรมาตามแน่ ๆ”
เธอคาดเดากับตัวเอง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ทว่ากลับผิดคาดไปหน่อย เพราะชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ดันเป็นฟีนิกซ์ พี่ชายของเธอเอง
“ค่ะพี่ฟีนิกซ์”
เสียงใสกรอกลงพร้อมกับขาสวยที่เตรียมก้าวเดินเข้าไปในตึกสูงสีขาวตัดน้ำเงิน
(พ่อกับแม่อยู่ไหน!)
เสียงถามกึ่งตะคอกทำให้แคลชะงักกึก รีบหันขวับกลับไปมองรถที่นั่งมา และตอนนี้พวกเขาเพิ่งขับออกไปยังไม่ถึงหน้าทางออกมหาวิทยาลัย เพราะในช่วงเวลานี้รถค่อนข้างติด
“เพิ่งมาส่งแคลเมื่อกี้เองค่ะ”
(แคล...)
ตู้มมม!!
ยังไม่ทันที่คนในสายจะได้พูดจบประโยค เสียงคล้ายระเบิดดังสนั่นก็ทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คน แคลย่อตัวลงปิดหูด้วยความตกใจ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้สติ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ต้นตอของเสียงแล้วก็ต้องใจแหลกละเอียด เมื่อภาพตรงหน้าคือซากรถที่เละไม่เหลือสภาพกำลังติดไฟจนท่วม มันคือรถคันเดียวกันที่พ่อกับแม่ของเธอนั่งอยู่
วิ้งงง
เสียงคล้ายลมวิ่งผ่านหูไปครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตสั่นระริกพร้อมกับมือที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
(แคล เกิดอะไรขึ้น!)
เสียงของปลายสายไม่สามารถดึงสติของแคลได้อีก มือที่กุมโทรศัพท์ค่อย ๆ คลายออก ปล่อยให้มือถือเครื่องแพงหล่นลงไปกับพื้น ขาที่ไร้เรี่ยวแรงพยุงตัวเองวิ่งฝ่ากลุ่มคนไปยังจุดเกิดเหตุพร้อมกับเสียงภาวนาในใจอย่างบ้าคลั่ง แม้รู้ว่าปาฏิหาริย์ไม่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว
“ฮึก พ่อออ!!”
“น้อง! อย่าเข้าไป”
แคลถูกรั้งเอาไว้ด้วยรปภ.ที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ทางออกของมหาวิทยาลัย ในขณะที่เธอพยายามจะดิ้นให้หลุดเพื่อเข้าไปช่วยคนที่ติดอยู่ในซากรถ ความโกลาหลที่เกิดขึ้นรอบข้างไม่ได้ทำให้เธอสนใจหันกลับไปมองเลย เพราะตอนนี้เธอกำลังกรีดร้องเหมือนกับหัวใจได้ระเบิดไปพร้อมกับรถคันนี้แล้ว
“ฮืออ ช่วยพ่อกับแม่หนูด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
เสียงแหบพร่าเคล้าเสียงสะอื้นดังพอให้คนรอบข้างได้ยิน แต่ไม่มีใครกล้าฝ่ากองเพลิงเข้าไปเลย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยน้ำตาแห่งความแตกสลาย เธอถูกพ่อแม่ทิ้งไปแล้วจริง ๆ อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน...