ตอนที่ 2 สะใภ้ไร้ตัวตน
“ปุณณดา นี่หล่อนกล้าพูดกับฉันอย่างนี้เชียวหรือ ตาฐา ดูยายคางคกคนนี้นะ เห็นสันดานของมันหรือยัง พอมันได้ปีนขึ้นมานั่งบนวอ ก็หยิ่งผยองพองตัว ลืมกำพืดของตัวเอง”
“ในสายตาของพวกคุณ ฉันอาจเป็นแค่นางคางคกขึ้นวอ แต่อย่างน้อย บนวออันหรูหราสูงส่งนี้ มันก็ยกระดับทำให้ฉันอยู่สูงเกินกว่าที่คุณจะด้อยค่า”
ปุณณดาเดินไปนั่งยังที่ว่างข้างคุณหญิงรินรดาผู้เป็นประมุขของบ้าน หากทว่ากลับไม่มีแม่บ้าน คนรับใช้คนไหน กล้าเสิร์ฟอาหารเช้าให้กับสะใภ้ใหม่ แม้กระทั่งน้ำเปล่า
“อุ๊ย!” ริมฝีปากบางสีแดงเชอร์รี ขยับยิ้มอย่างพอใจในท่าทีของทุกคนที่มีต่อปุณณดา แม้แต่ฐาปกรณ์ที่แสดงท่าทีเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามองภรรยาของตัวเอง
“ฮึ” เสียงหัวเราะหึหนึ่ง ดังออกมาจากประมุขของบ้านที่ หากแต่นั่น ไม่อาจทำให้ปุณณดาสะทกสะท้านได้
“ไม่ยักรู้ว่าตระกูลผู้ดีเก่าอย่างก้องเกียรติไพบูลย์ อบรมคนรับใช้ให้มารยาททรามขนาดนี้ ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง”
ประโยคเชือดเฉือนเหมือนน้ำเย็นถังใหญ่สาดใส่หน้าของคุณหญิงรินรดาและฐาปกรณ์ ดวงตากร้าวสะบัดมองมายังรอยยิ้มหยันนั้นตรง ๆ
“ปุณณดา หล่อนชักจะทำเกินไปแล้วนะ” ฝ่ามือบางตบฉาดลงไปบนโต๊ะหินอ่อนเนื้อแข็ง
“ดิฉันพูดผิดอย่างนั้นหรือคะ ในเมื่อฉันมานั่งตรงนี้นานพอสมควรแล้ว แต่คนของคุณหญิงยังไม่เห็นมีใครเข้ามาสนใจดูแล”
“นั่นเพราะพวกเขารู้ต่างหาก ว่าใครควรใส่ใจ และใครเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรในบ้านหลังนี้ อยากได้การดูแลอย่างนั้นหรือ ได้ ฉันจะให้หล่อน ในครัวมีเศษอาหารอะไรเหลือ เอามาเทให้ลูกสะใภ้คนนี้ของฉันกินหน่อยเถอะ”
“ฮึ” คราวนี้เป็นเสียงแค่นหัวเราะมาจากปุณณดา เปลือกตาบางขยับสะบัดมองไปยังฝั่งตรงข้าม ประสานเข้ากับดวงตากร้าวของฐาปกรณ์ เพียงชั่วเสี้ยววินาที ดวงตาคมคู่นั้นจึงเสหันย้ายมันไปมองสิ่งอื่น เป็นเวลาเดียวกับแม่บ้านคนหนึ่ง ถือชามข้าวต้มทรงเครื่องที่มีเศษหมู เศษผักตักรองลงมาก้นชามกระแทกวางลงมาตรงหน้า
“อุ๊ยตาย มีของเหลือเท่านี้เองหรือ ปุณ ถ้าเธอไม่รังเกียจข้าวต้มในชามของฉัน ฉันเพิ่งกินไปได้แค่สองสามคำเท่านั้น เธอเอาไปกินก็ได้นะ” หญิงสาวใจดีเลื่อนชามข้าวต้มตรงหน้ามาให้
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจอันเสแสร้งนะคะ เชิญเธอทานให้อิ่มเถอะ ดิฉันได้ยินมาบ้างว่าตระกูลก้องเกียรติไพบูลย์กำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่ไม่คิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ขนาดนี้”
“อย่าลืมสิตอนนี้เธอเองก็เป็นสะใภ้ของก้องเกียรติไพบูลย์ จะพูด จะจา ควรให้เกียรติตระกูลของสามีบ้าง”
“ฉันให้เกียรติกับคนที่ให้เกียรติฉันเท่านั้น เอาละค่ะ เก็บเศษอาหารของคุณเอาไว้ให้สะใภ้ที่คุณชื่นชอบทานเถอะ ส่วนฉันจะออกไปหาของดี ๆ อาหารอร่อย ๆ ทานข้างนอก”
ปุณณดาผลักเก้าอี้เลื่อนไปด้านหลัง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาอย่างสง่างาม หากทว่าเท้าทั้งสองยังก้าวออกมาไม่พ้นห้องอาหารชามข้าวต้มน่าสมเพชถูกใครคนหนึ่งขว้างมันลงพื้นแตกกระจายห่างจากจุดที่เธอยืนไปไม่มากนัก เศษชามกระเบื้องเคลือบกระเด็นไกลเฉือนผิวส่วนข้อเท้าจนของเหลวสีแดงไหลซึมออกมา
“คนอย่างหล่อนนะเหรอมีเกียรติ” เสียงแหลมตวาดไล่มาจากด้านหลัง
เพล้ง! มือบางสะบัดปัดแจกันใบหนึ่ง ซึ่งวางอยู่บนหลังตู้โชว์ตกลงไปบนพื้นแตกกระจาย
“ปุณณดา นี่หล่อนบ้าไปแล้วหรือยังไง ตาฐาแกดูนังผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นมันทำกับแม่สิ”
เพล้ง! จานกระเบื้องอีกใบถูกคุณหญิงรินรดาข้างปามันลงพื้น
เพล้ง! ตุ๊กตาปูนปั้นอันหนึ่งถูกปุณณดาผลักมันลงมาอีกครั้ง
“ปุณณดา อีตัวกาลี”
เพล้ง ! เพล้ง! เพล้ง! จานชามหลายใบถูกคุณหญิงรินรดาขว้างปาอย่างบ้าคลั่ง ฐาปกรณ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานถึงกับกระโดดลุกขึ้นมาคว้ามือแม่เอาไว้ก่อนที่โถเครื่องปรุงชุดใหญ่จะถูกขว้างลงไปบนพื้น
เพล้ง ! เพล้ง! เพล้ง! เครื่องแก้ว แจกัน ของตั้งโชว์ราคาแพง ถูกปุณณดาปัดมันตกกระแทกพื้นแตกละเอียดกระจายเกลื่อนจนเต็มบ้าน
“อี....อี....” ริมฝีปากสั่นระริกขยับเต้นพร้อมกับดวงตากร้าวแดงก่ำเพราะความโกรธ
“เรียนรู้เร็วดีเหมือนกันนี่คะ”
“เธอเปลี่ยนไปมากนะปุณ” เสียงทุ้มเย็นชา ดังลอดออกมาจากริมฝีปากหยัก
“ในเมื่อคุณเองยังเปลี่ยนไป แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันจะต้องเหมือนเดิมล่ะคะ”
นายหญิงคนใหม่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงโรงจอดรถของคฤหาสน์ รถหรูหลากสัญชาติ หลายรุ่น ต่างสีจอดเรียงกันมากกว่าสิบคัน คนรับใช้ผู้มีหน้าที่ดูแลรถเจ้านายวิ่งเข้ามายืนละล้าละลังท่าทางหวาดกลัว เสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวายทั้งเสียงขว้างปาข้าวของนั้นไม่มีคนหูดีตาดีที่ไหนไม่ใส่ใจ
“ขอกุญแจรถ คันนี้ให้ฉันหน่อย” ปุณณดาเดินมาหยุดอยู่หน้ารถเก๋งสัญชาติเยอรมันสีขาวเข้ากับชุดสูทของเธอในวันนี้
“เอ่อ คือว่า...”
“เอามา! อย่าให้ฉันต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้”
การปรากฏตัวของรองประธานกรรมการคนใหม่ สร้างแรงกระเพื่อมไหวภายในบริษัท เป็นเสียงซุบซิบนินทา วิพากษ์วิจารณ์ กล่าวหา ถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือ
“เพิ่งแต่งงานกันเมื่อวาน วันนี้เขาไม่ไปฮันนีมูนกันหรือไง”
“ฮันนีมูนอะไรเล่า ไม่ได้อ่านข่าวหรือไง มีคนบอกว่างานแต่งเมื่อวานบรรยากาศอย่างกับงานศพ คุณฐาไม่ยิ้มเลยสักนิด”
“ทำอย่างกับเวลาปกติคุณฐายิ้มอย่างนั้นแหละ”
“แต่นั่นมันงานแต่งนะ ต่อให้เป็นคนเย็นชา เคร่งขรึมมันก็ควรหวานชื่นไม่ใช่เหรอ”
“คอลัมน์ข่าวสังคมเขาเมาท์แรงว่า เป็นงานแต่งลวงโลก”
“ลวงโลกบ้าอะไร เขาจดทะเบียนสมรสกันด้วยจ้ะ”
“ฉันหมายถึง แต่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจย่ะ”
“นี่ห้องทำงานส่วนตัวของคุณปุณค่ะ หากคุณปุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมสามารถแจ้งดิฉันได้นะคะ” พนักงานสาวคนหนึ่งเดินนำหน้าปุณณดาเข้ามายังห้องกว้าง
ด้านหลังนั้นเป็นบานกระจกนิรภัยขนาดใหญ่กั้นเป็นผนัง วิวด้านหลังมองเห็นความสับสนวุ่นวายของเมืองหลวง ตัดกับแสงจ้าของท้องฟ้าวันที่ปราศจากเมฆแม้แต่ก้อนเล็ก ๆ ลอยให้เห็น
“ขอบใจ เธอชื่ออะไร”
“ญาดาค่ะ”
“ทำงานที่นี่มานานหรือยัง”
“ห้าปีค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันต้องการข้อมูลของคณะผู้บริหารทั้งหมด เธอช่วยเอาเข้ามาให้ฉันหน่อย”
“ทั้งหมดเลยหรือคะ”
“ใช่ ทั้งหมด”
“ถ้าอย่างนั้น ช่วงบ่าย...”
“สามสิบนาที ฉันให้เวลาเธอได้เท่านี้ เอาละออกไปได้”
เลขาฯ หน้าห้องตาลีตาเหลือกวิ่งออกมารื้อค้นเอกสารจากชั้นวาง จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์รัวนิ้วเคาะแป้นพิมพ์พัลวัน เครื่องพรินต์เอกสารทำงานไม่มีช่วงจังหวะให้พัก เพราะเวลาที่ท่านรองคนใหม่ให้มานั้นน้อยนิดเหลือเกิน
“แฮก แฮก แฮก เอก....เอก...เอกสาร ได้ แล้ว ค่ะ” เลขาฯ สาววิ่งหอบเข้ามาในห้องพร้อมแฟ้มสีดำในวงแขน
“ฮึ ฮึ ดีมาก ฉันชอบคนกระตือรือร้น เอาละนั่งลง ฉันมีข้อสงสัยบางอย่างต้องการข้อมูลจากเธอ”
กลางโถงทางเดินซึ่งทอดตรงไปยังห้องประชุมใหญ่ ปุณณดาเดินนำหน้า โดยมีเลขาฯ และผู้ช่วยสาวสวยสองคนหอบเอกสารพะรุงพะรังตามมาด้านหลัง เป็นเวลาเดียวกับฐาปกรณ์ในชุดสูทเป็นทางการ มีอรสิมาแนบข้างเกี่ยวแขนชิดใกล้มาด้วยกัน
“เจอเธอพอดีเลยปุณ รู้หรือเปล่าว่าที่เธออาละวาดใส่คุณหญิงป้าเมื่อเช้า ทำให้ท่านถึงกับความดันขึ้นเชียวนะ” อรสิมาจีบปากจีบคอพูดเสียงดัง เหมือนจงใจให้คนที่คอยเงี่ยหูฟังได้ยินทุกคน
“อย่างนั้นหรือ”
“นี่เธอไม่รู้สึกผิดอะไรเลยหรือไง”
“ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วยล่ะ ในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรเลย โรคความดันของคุณหญิงรินรดา ไม่ใช่เพิ่งเป็นเมื่อเช้าเสียเมื่อไหร่ แทนที่เธอจะกล่าวร้ายให้โทษฉัน สู้เอาเวลาไปหาความรู้ใส่ตัวว่าควรดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคยังไงดีกว่า...” ปากพูดตอบคำถามอรสิมา หากทว่าสายตากลับตวัดมองสูงขึ้นไปสบตากับลูกชายเพียงคนเดียวของคุณหญิงขี้โมโห
“นี่!”
“เอาละ คุณฐาปกรณ์ คุณคงไม่คิดพาคุณอรเข้าไปนั่งประชุมบอร์ดผู้บริหารด้วยหรอก ใช่ไหมคะ”
“เธอหมายความว่ายังไงปุณ...”
“อร คุณไปช็อปปิงรอผมที่ห้างฯ ใกล้ ๆ นี่เถอะ”
“ฐาคะ แต่ว่าอร”
ปุณณดาไม่อยู่รอฟังการง้องอนของคู่รักน่ารำคาญ หญิงสาวก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในห้องประชุมใหญ่อย่างมาดมั่น ทรงพลังไร้เงาแห่งความประหม่าลังเล
ปุณณดา ปรีชาวราพัชช์
‘ตำแหน่ง รองประธานกรรมการฯ’
ดวงตาหลุบต่ำมองป้ายชื่อและตำแหน่งของตัวเอง จากนั้นมือดึงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงอย่างองอาจ ท่ามกลางสายตาหวาดระแวงสงสัยของคณะกรรมการหลายสิบคน
“ตกลงว่าบริษัทฯ ของเรา ถูกแทรกแซงจริงหรือ”
“แค่ผู้หญิงคนเดียวจะไปมีปัญญาทำอะไรได้”
“ผมไม่มีทางก้มหัวให้ผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด”
ทันทีเมื่อเก้าอี้ประจำตำแหน่งของท่านประธานบริษัทถูกฐาปกรณ์ยึดครอง เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นจึงเงียบลงได้ สายตาทุกคู่เลื่อนมาจับอยู่ยังตำแหน่งหัวโต๊ะ
“อย่างที่ทุกท่านได้ทราบจากหนังสือ แจ้งหัวข้อวาระการประชุมในครั้งนี้ หลังจากที่คุณฐาพล คุณพ่อของผมท่านเสียไปเมื่อสองเดือนก่อน ท่านได้ทำพินัยกรรมโอนหุ้นในส่วนของท่านให้กับคุณปุณณดา สัดส่วนสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่าเวลานี้ เธอคือผู้ถือหุ้นลำดับที่สองรองจากผม”