ตอนที่ 3 สิ่งที่สำคัญกว่า

1934 คำ
ตอนที่ 3 สิ่งที่สำคัญกว่า “คุณปุณจะกลับหรือยังคะ” ญาดาเลขาฯ สาวเดินย่องเข้ามา ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ตั้งแต่ออกมาจากห้องประชุมใหญ่ ปุณณดาฝังตัวเองเอาไว้ใต้กองเอกสารมากมาย ภายในห้องของรองประธานกรรมการ แทบไม่มีพื้นที่ว่างหลงเหลืออยู่ “ขอโทษที ฉันทำงานเพลินไปหน่อย เธอกลับเถอะแจ้ง รปภ.ด้านหน้าด้วยว่าฉันจะอยู่ทำงานต่ออีกสักพัก” “แต่นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วนะคะ” แววตาห่วงใยมองเลยไปเอกสารมากมายสุมวางอยู่บนโต๊ะซึ่งตนและเพื่อนพนักงานช่วยกันยกเข้ามาสำหรับใช้วางเอกสารเพราะโต๊ะทำงานหลักของปุณณดามีพื้นที่ว่างไม่มากพอ “สมัยฉันเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเคยอดนอนติดต่อกันสามวัน เพื่อทำรายงานโพรเจกต์สำคัญ เรื่องการนอนมันไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก” “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นญาดากลับก่อนนะคะ” เลขาฯ หน้าห้องเดินถอยออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ ทั่วทั้งออฟฟิศขนาดพื้นที่กว่าสามร้อยตารางเมตรบนชั้นนี้ ปิดไฟมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างลอดออกมาจากห้องรองประธานกรรมการเพียงจุดเดียวเท่านั้น สายตาพร่าเกิดจากความเหนื่อยล้า เพราะนั่งก้มหน้า อ่านข้อมูลตัวหนังสือผสมกับกราฟตัวเลขจำนวนมาก ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หน้าจอโทรศัพท์มือถือส่วนตัวแสดงเวลาล่วงเข้าเช้าวันใหม่ไปแล้ว “ตีสองแล้วอย่างนั้นหรือ เฮ้อ เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน” มือปิดแฟ้มเอกสารผลักมันออกห่างจากตัว ปุณณดาขยับลุกขึ้นยืนหันหลังมองกลับออกไปยังนอกบานกระจกใส เบื้องหน้านั้นเงาของหญิงสาวคนหนึ่งสะท้อนมองกลับมายังเธอด้วยสีหน้าแววตาเหนื่อยล้า แต่ก็แค่ไม่นานเพราะเมื่อสายตาตวัดมองกลับไปด้านหลัง เห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยมายืนโค้งให้ดวงตาของเธอจึงเปลี่ยนกลับมาเด็ดเดี่ยวดังเดิม “คุณปุณจะกลับเลยหรือเปล่าครับ” “ค่ะ คืนนี้คงพอเท่านี้ก่อน ขอบคุณมากนะคะที่มาอยู่ดูแลอำนวยความสะดวกให้ปุณเกือบทั้งคืน” “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเดินลงไปส่งคุณปุณที่รถตรงลานจอดมันมืด ดึกแล้วอันตราย” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยห้าสิบก้มศีรษะอย่างนอบน้อม เดินค้อม ๆ นำหน้าจนมาเอมายังจุดจอดรถคันใหญ่ “ขอบคุณค่ะ” สองมืออ่อนยกขึ้นประนมไหว้ “โอ๊ย คุณปุณไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ ผมทำตามหน้าที่ คุณปุณเป็นเจ้านาย ผมเป็นขี้ข้าไม่ต้องไหว้ครับไม่ต้องไหว้” “ปุณไม่ได้ไหว้ในฐานะเจ้านายค่ะ แต่ไหว้ขอบคุณในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ได้รับการปกป้องดูแล” “เพิ่งแต่งงานได้แค่คืนเดียว คนเป็นภรรยากลับบ้านดึกขนาดนี้เชียวหรือ” เสียงเข้มดุขรึมดังลอยมาจากมุมมืด “ทำไมคะ นี่คุณคงไม่ได้คาดหวังว่า เมื่อเลิกงานกลับมา จะเห็นฉันผูกผ้ากันเปื้อน เดินหัวฟู ในมือถือไม้กวาดหรือยืนล้างหม้อ ล้างกระทะอยู่ข้างในครัว เพื่อรอสามีกลับบ้านหรอกนะ” ปลายนิ้วกดสวิตช์เปิดไฟ เพื่อมอบแสงสว่างให้กับห้องหอ ที่แม้จนตอนนี้เธอยังไม่ได้แตะต้องสัมผัสเตียงนอนนั้นเลยแม้แต่ปลายนิ้วเท้า “ต่อให้ผมกลับมาเห็นคุณอยู่ในสภาพนั้น ผมเชื่อไม่ลงอยู่ดีว่า สิ่งที่คุณกำลังทำ มันเป็นเรื่องจริง คนอย่างคุณไม่ยอมฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือไม่ต้องการแน่” ทายาทเพียงคนเดียวของคฤหาสน์ตระกูลก้องเกียรติไพบูลย์ ขยับลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง สามีในนามเดินข้ามห้อง มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า แววตานั้นสะท้อนความรู้สึกเดียดฉันท์ออกมาอย่างเปิดเผย “รู้อย่างนั้นก็ดีแล้วค่ะ” “รู้ ใช่ผมรู้ เพราะผมรู้จักคุณดีกว่าใคร และถ้าหากผมเลือกได้ ผมอยากย้อนเวลากลับไป ทำทุกอย่าง ขอเพียงให้เราไม่รู้จักกัน” “เสียใจด้วยนะคะ ที่บางครั้งเราไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้” รอยยิ้มเยาะหยันที่เธอจงใจเหยียดออกมานั้น มันยังส่งไปไม่ถึงดวงตา สามีกลับชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ถ้าคุณหมายถึงเรื่องการแต่งงานของเรา ใช่ ผมเลือกไม่ได้ เพราะถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่มีวันแต่งงานกับคุณเด็ดขาด” “เหมือนกันเลยค่ะ ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็อยากหนีไปให้ไกลจากคุณ” “เฮอะ อยากหนีไปให้ไกลจากผม อย่างนั้นหรือ ไปสิ...ไปเลย ไปให้ไกลแล้วไม่ต้องกลับมาอีก คุณกลับมาทำไมปุณ” เพล้ง! แก้วบรั่นดีในมือถูกขว้างลงไปกลางพื้นห้อง เศษของแก้วคม บาดซ้ำย้ำลงไปใกล้กับรอยแผลเก่า ที่เมื่อเช้าเธอเพิ่งได้รับมาจากฝีมือแม่สามี ดวงตาคมหรี่ต่ำมองหยดเลือดสีแดงซึ่งซึมออกมาจากรอยแผลยาวประมาณหนึ่งนิ้วนั้นด้วยสายตาเย็นชา “สมน้ำหน้า” คนเมาสะบัดหน้าเดินหนีออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองความสกปรกที่ตัวเองทิ้งเองไว้ “อ๊ะ” ก้าวแรกที่ปุณณดาขยับ ฝ่าเท้านุ่มกลับเหยียบซ้ำลงไปบนเศษแก้วแหลม เท้ากระตุกยกขึ้นโยอัตโนมัติมือจับบีบคัดเคล้นเลือดแดงออกมาจนเต็มฝ่ามือ “บ้าจริง อีตาบ้านี่ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ” “เอะอะเสียงดังอะไรกันตาฐา” คุณหญิงรินรดาเปิดประตูห้องออกมาเจอลูกชายตรงทางเดินซึ่งทอดไปปีกซ้ายอีกด้านของคฤหาสน์ “ไม่มีอะไรครับ” “เมียคางคกของแก คงแผลงฤทธิ์ละสิ แม่ได้ยินเสียงเหมือนอะไรตกแตก อีตัวกาลีบ้าน กาลีเมือง” “พอเถอะครับคุณแม่ ผมไม่อยากฟัง” “ฉันละเจ็บใจนัก ไม่น่าส่งพ่อแกไปรักษาที่เมืองนอกเลย ไม่รู้ว่าพ่อแกไปโดนอีเด็กนี่เป่าหูอะไรมาถึงได้ทำพินัยกรรมอุบาทว์อย่างนี้ออกมาได้ รู้อย่างนี้ฉันไปนั่งเฝ้าเอาไว้ซะก็ดีหรอก” “คืนนี้มีงานประมูลเครื่องเพชรเพื่อการกุศล ที่โรงแรมวินเนอร์สตาร์ เตรียมตัวให้พร้อมด้วยแล้วกันเจอกันที่บ้านตอนหกโมงเย็น” ประโยคบอกเล่าปราศจากที่มาที่ไป ไม่มีเหตุ และราวกับคนพูดไม่ต้องการรอฟังผลว่าเธอจะตอบรับหรือไม่ เพราะฐาปกรณ์ดีดประตูห้องทำงานของเธอปิดลงทันทีเมื่อพูดจบ “หกโมงเย็น แล้วมาบอกเอาตอนนี้เนี่ยนะ” ปุณณดาเงยหน้าขึ้น เหลือกตามองเพดานห้องแวบหนึ่ง พยายามรวบรวมสติ แล้วยกหูโทรศัพท์กดเรียกเลขาฯ หน้าห้อง ให้เข้ามาหา สั่งงานสำคัญอย่างรอบคอบ จากนั้นรีบคว้ากระเป๋าเดินออกไปในทันที ภารกิจเร่งด่วนจวนตัว มีเวลาให้ปุณณดาเลือกหาซื้อชุดราตรีที่เหมาะสมด้วยเวลาอันน้อยนิด ก่อนจะรีบบึ่งรถกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมเสร็จทันเวลาตามที่สามีบ้าอำนาจบอกเอาไว้ “แน่ใจหรือตาฐาว่าจะพาแม่นี่ไปงานด้วย กำพืดคางคกอย่างนั้น จะพาไปชูคออวดคนในงาน ระวังเถอะมันจะไปอาละวาดจนเสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงตระกูลเราเปล่า ๆ ฮึ น่าโมโหจริง ๆ ฉันทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้ ถึงต้องมีผัว มีลูกสะใภ้อย่างนี้ ไม่รู้แต่งตัวอะไรนานนักหนา แต่งให้สวยแค่ไหน มันก็ลบภาพลักษณ์หนังคางคกของแม่นั่นไม่ได้หรอก” “ยังไงตอนนี้เขาก็อยู่ในฐานะภรรยาของผม ทุกคนกำลังจับตามองเราอยู่” “ฉันไม่เข้าใจพ่อแกจริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่” ภาพของภรรยาในชุดราตรียาวสีน้ำเงินเข้มมีลูกเล่นเป็น กลิตเตอร์ซ่อนไว้ในเนื้อผ้าเล่นกับแสงไฟ คล้ายกับปุณณดามีออร่าสว่างเปล่งประกายมาจากตัวเอง “เชอะ หล่อนจะไปงานประมูลเครื่องเพชรในสภาพนี้นี่นะหรือ คิดจะให้คนข้างนอกหัวเราะเยาะฉันหรือยังไง” แม่ผัวเบะปากมองการแต่งตัวของลูกสะใภ้ตั้งแต่หัวจดเท้า ลำคอว่างเปล่าปราศจากเครื่องประดับอันมีค่า “นั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณฐา ต้องการให้คนมองดิฉันยังไงค่ะ” ยิ้มฉลาดตวัดมองไปยังสามี “ฮึ ถ้าเธอคิดว่าฉันจะเดินกลับขึ้นห้อง เพื่อไปค้นเอาเครื่องเพชรมาให้...” “ฉันรู้ว่าคุณไม่ทำอย่างนั้นแน่ เอาละ นี่เลยเวลานัดมาสองนาทีแล้ว เราไปกันเถอะค่ะ” ปุณณดายิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ ก้าวเท้าไปเบื้องหน้าอย่างช้า ๆ ตรงไปยืนรออยู่ข้างรถสีดำคันใหญ่ซึ่งมีคนขับรถนำมาจอดเทียบไว้ตรงบริเวณเชิงบันไดทางขึ้น “เอาไป!” กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกโยนลงมาตรงกลางระหว่างเบาะนั่งด้านหลัง เป็นอย่างที่ปุณณดาคาดการณ์เอาไว้ แม้เธอจะเป็นที่เดียดฉันท์รังเกียจของคุณหญิงรินรดาสักปานใด แต่คืนนี้เธอกำลังจะไปปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในฐานะภรรยาของนายฐาปกรณ์ สังคมจอมปลอมที่มองกันเพียงเปลือก เป็นไปไม่ได้เลยที่คนอย่างคุณหญิงรินรดาจะยอมให้คนมองว่าตระกูลก้องเกียรติไพบูลย์ด้วยสายตาสงสัยผสมสมเพชเวทนา ในความอัปยศกับข่าวลือที่ว่าตระกูลของเธอกำลังจะล่มจมลงในเร็ววันนี้ “ขอบคุณค่ะ คุณสามี” ปุณณดาหยิบเครื่องเพชรสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีชุดราตรีของเธอออกมา จากนั้นสวมมันลงบนลำคออย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพากระจกเงา “เป็นยังไงคะ ภรรยาของคุณสวยพอหรือยัง” “ฮึ” หน้าขรึมหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ จุดประกายรอยยิ้มขบขันดึงมุมปากของปุณณดาขึ้นมาได้ รถเก๋งคันใหญ่แล่นเข้าไปจอดเทียบยังบริเวณทางเข้าโรงแรมดัง ด้านหน้านั้นมีพรมแดงปูลาดลงมาตั้งแต่ภายในงานจนกระทั่งถึงพื้นถนนเบื้องล่าง เป็นเวลานับได้มากกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง จากช่วงเวลาที่ปุณณดาและฐาปกรณ์สวมแหวนแต่งงานให้กันและกัน นับจากนั้นคู่สามีภรรยายังไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกันจนถึงวินาทีนี้ “........” มือหยาบยื่นออกมาอย่างรู้หน้าที่ ละครฉากนี้บทของเธอคือภรรยาผู้แสนดีสินะ “ขอบคุณค่ะ” ปุณณดาวางมือลงไปก้าวเท้าเดินเคียงใกล้แจกรอยยิ้มหวานให้กับกล้องมากมายที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้างาน “ฐา มาแล้วหรือคะ อรมารอคุณตั้งนานแน่ะ อุ๊ยนี่คุณใส่ชุดที่อรซื้อให้ด้วยหรือคะ น่ารักจังเลยดูสิคะ ชุดของเราเหมือนเป็นคู่รักเลยนะคะ” ท่อนแขนของสามีถูกคว้าไปในเวลาไม่ถึงนาที อรสิมาฉีกยิ้มร่าพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานอวดชุดราตรีเซตคู่จากแบรนด์ดังลวดลายนั้นเหมือนตัดเย็บมาจากผ้าผืนเดียวกับชุดของสามีเธอ กล้องถ่ายรูปจากหลายสำนักข่าวเปลี่ยนจุดโฟกัสหันไปจับภาพคู่หนุ่มสาวทั้งสองพร้อมนิ้วกดรัวชัตเตอร์เสียงดัง ผสมกับแสงแฟลชจ้า จนปุณณดาถึงกับตาพร่าทีเดียว “ขอโทษนะปุณ คืนนี้ฉันขอยืมสามีของเธอหน่อยนะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม