“คุณภูจะจ้างใบตองจริงๆ ใช่ไหมคะ” กัญญ์วราถามย้ำ
“อือ”
“จะจ้างนานไหม ต้องเซ็นสัญญาหรือเปล่าคะ”
“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก เธออาจจะอยากไปหางานอื่นหลังเรียนจบแล้วก็ได้”
“แล้วถ้าใบตองทำงานด้วยแล้วรับจ้างคุณภูไปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
เมื่อตกลงกันได้แล้วกัญญ์วราก็เก็บของต่ออีกนิดหน่อยก็พอดีกับได้ยินเสียงเสี่ยสมานที่มาเรียกลูกน้องให้กลับเพราะได้เงินตามที่ตัวเองต้องการแล้ว
ภูเมฆาพากัญญ์วรามายังคอนโดมิเนียมของตนเองจากนั้นก็ช่วยกันเอาของลงจากรถโดยมีแม่บ้านประจำคอนโดและนิติกรที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์เข้ามาช่วย
“ของเยอะเลยนะครับคุณภู”
“ครับคุณวินัย”
“น้องสาวเหรอครับ” นิติการมองหน้ากัญญ์วราสลับกับภูเมฆาที่ดูคล้ายกันจนคิดว่าเป็นน้องสาวของชายหนุ่ม
“ครับ” เมื่อนิติกรเข้าใจอย่างนั้นภูเมฆาก็ไม่อยากอธิบายอะไรเพราะมันก็ดีกับเขาและกัญญ์วราถ้าคนอื่นจะคิดว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
“คุณภูทำไมบอกเขาไปแบบนั้นล่ะคะ” กัญญ์วราถามเมื่อขึ้นมาถึงบนห้องแล้ว
“แล้วจะให้บอกว่าเป็นอะไรล่ะ”
“ก็เป็นลูกจ้าง เป็นแม่บ้านไงคะ”
“ถ้าผมบอกไปแบบนั้นแม่บ้านประจำที่นี่มาได้ยินก็คงไม่ค่อยชอบหน้าใบตองแน่ เพราะเหมือนผมข้ามหน้าข้ามตาเขาไปจ้างคนอื่น”
“ปกติคุณภูจ้างเขาเหรอคะ”
“ไม่หรอกผมชอบทำเองมากกว่า นานๆ ครั้งถึงจะจ้างเขา ผมไม่ค่อยชอบให้ใครวุ่นวายในห้องเท่าไหร่”
“แล้วทำไมถึงจ้างใบตองล่ะคะ”
“ก็เพราะเห็นว่าที่บ้านใบตองจัดเป็นระเบียบดี”
“แค่นั้นเหรอคะ”
“อือ เอาล่ะอย่าถามมากเลย ต่อไปนี้ก็ถือว่าเราเป็นพี่น้องอย่างที่คุณวินัยพูดนั่นแหละ ถ้าใครถามก็บอกไปตามนั้น”
“ค่ะคุณภู”
“ใบตองควรเรียกผมฉันว่าพี่ภู”
“ทำไมคะ เรียกคุณภูดูสุภาพกว่าเยอะ”
“แล้วใครเขาจะเชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน ผมไม่ใช่คนถือตัวอะไรนะ”
“ก็ได้ค่ะพี่ภู”
“ตามมาสิพี่จะพาไปดูห้อง”
ภูเมฆาเดินนำกัญญ์วรามายังห้องที่อยู่ริมประตูทางเข้าซึ่งเป็นห้องหนึ่งที่เขาไม่เคยให้ใครใช้มาก่อนด้านในจึงมีแค่เตียง ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงานเท่านั้น
“ห้องนี้เหรอคะ”
“อือ อยู่ได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ใบตองทำความสะอาดห้องนี้ไปก่อนนะ เสร็จแล้วไปเรียกที่ห้องทำงานนะ พี่จะพาไปซื้อผ้าปูที่นอนกับของใช้”
“ห้องทำงานคือห้องไหนคะ”
“ห้องถัดไปนี่แหละ”
“ได้ค่ะ”
กัญญ์วราใช้เวลาทำความสะอาดและจัดของไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย หญิงสาวจึงมาเคาะห้องทำงานของภูเมฆา
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ไวดีนี่ เดี๋ยวขอทำงานอีกนิด เหนื่อยไหม น้ำกับของกินอยู่ในตู้เย็นหยิบกินได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะ” พูดจบภูเมฆาก็ก้มหน้าทำงานต่อ
หญิงสาวเดินมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาดื่มจากนั้นก็เดินสำรวจบริเวณห้องครัวซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมีของทุกอย่างครบครับ เธอเดินเลยมาถึงด้านที่มีเครื่องซักผ้าซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มีทั้งซักและอบไปในตัว ถ้าไปซื้อผ้าปูที่นอนมาก็คงจะซักและอบทันเวลาเข้านอนพอดี
“ไปกันเถอะใบตอง”
“ค่ะ” กัญญ์วรารีบเดินตามขณะที่กำลังก้มลงใส่รองเท้าเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองมีรองเท้าผ้าใบคู่เก่งมาแค่คู่เดียว
“รองเท้า”
“รองเท้าทำไม” ภูเมฆาถาม
“ใบตองเอารองเท้ามาคู่เดียวค่ะ เหลือรองเท้าแตะกับครัชชูที่ยังไม่ได้เอามา”
“ไปซื้อใหม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ คู่นั้นใบตองเพิ่งซื้อมาเมื่อต้นเทอมเอง ถ้าพรุ่งนี้ใบตองทำความสะอาดห้องเสร็จแล้วขอกลับไปที่บ้านได้ไหมคะ”
“แล้วถ้าเจอแม่เลี้ยงขึ้นมาล่ะ จะบอกเขาว่าไปอยู่ไหน ไม่กลัวเขาตามมาวุ่นวายเหรอใบตอง”
กัญญ์วราทำท่าทางคิดหนักเพราะเมื่อครู่นภาวรรณก็พยายามโทรหาอยู่หลายรอบแต่หญิงสาวก็ไม่ได้รับเพราะไม่รู้จะบอกยังไงว่าตนเอง อีกอย่างก็กลัวว่าแม่เลี้ยงจะตามมาวุ่นวายที่นี่อย่างที่ภูเมฆาพูดอยู่เหมือนกัน
“ซื้อใหม่ก็ได้ค่ะ”
เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้าทั้งสองก็ตรงไปที่แผนกเครื่องนอนเพื่อเลือกซื้อผ้าปูและปลอกหมอน นอกจากจะซื้อให้กัญญ์วราแล้วภูเมฆายังถือโอกาสซื้อให้ตัวเองอีกหลายชิ้น
จากนั้นก็พากันไปซื้อรองเท้าครัชชูซึ่งราคาค่อนข้างสูงทำให้กัญญ์วราไม่ค่อยอยากจะซื้อเท่าไหร่ แต่ภูเมฆาก็บอกว่าราคาสูงก็จริงแต่มันใส่แล้วสบาย แต่ก่อนเขาก็เป็นเหมือนกับหญิงสาวที่ซื้อของต้องดูราคาก่อน แต่พอเริ่มมีเงินก็เลือกซื้อจากคุณภาพ เขาไม่ได้สอนให้เธอฟุ่มเฟือยแต่เห็นแล้วว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นเพราะถ้าสวมรองเท้าที่ดีก็จะทำให้ไม่เมื่อยเท่าไหร่
“พี่ภูหักจากเงินเดือนนะคะ” กัญญ์วราบอกด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไร พี่ซื้อให้”
“แต่มันแพงนะคะ”
“พี่บอกแล้วไงว่างานนี้พี่ได้กำไรเยอะ อย่าคิดมากเลยถ้าใบตองไม่รับของที่พี่ซื้อให้พี่ก็รู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบใบตองอยู่”
“แต่พี่ก็จ่ายให้เสี่ยสมานไปตั้งเยอะแล้วนะคะ”
“นิดหน่อยเอง ถ้าใบตองไม่เอาของพี่จะโอนเงินให้ใบตองดีไหม”
“ไม่ค่ะ ใบตองเอาของก็ได้” กัญญ์วรารีบร้องห้ามเพราะไม่อยากรับเงินจากเขา เรื่องเหรียญนำโชคนั่นมันคงไม่มีผลอะไรมากเท่าไหร่ แต่ที่เขาให้ความช่วยเหลือก็คงเพราะสงสารเธอมากกว่า
“เป็นเด็กดีว่าง่ายๆ แบบนี้พี่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยพูด เอาล่ะ ทีนี้ก็ไปซื้อรองเท้าใส่เที่ยวแล้วก็ผ้าใบกันต่อ”
นอกจากรองเท้าแล้วกัญญ์วรายังได้ทั้งเสื้อผ้า ชุดนอนรวมไปถึงชั้นในอีกเยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าภูเมฆาไปอัดอั้นมาจากไหนถึงได้ซื้อของตั้งมากมาย ทั้งซื้อให้เธอและซื้อให้ตัวเขาเอง
“พอแล้วมั้งคะพี่ภู ใบตองเหนื่อยแล้ว” กัญญ์วราไม่เหนื่อยเลยเพราะเธอเดินเสิร์ฟที่ร้านเหล้ายังเหนื่อยกว่านี้หลายเท่าแต่เพราะเห็นว่าของที่ซื้อมามันเยอะมากแล้วจึงพูดแบบนั้นออกไป
“วันนี้พอก่อนก็ได้ เดี๋ยววันไหนว่างค่อยมากันอีก”
“เราต้องไปซื้อของสดทำอาหารไหมคะ”
“วันนี้ยังไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวกินจากข้างนอกเข้าไปเลยก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนแล้วค่อยขึ้นชั้นบนนะ คิดไว้เลยว่าจะกินอะไร”
เมื่อเก็บของที่รถแล้วทั้งสองคนก็มายังชั้นที่เต็มไปด้วยร้านอาหารซึ่งมีมากจนเลือกแทบไม่ถูก
“คิดออกไหมว่าจะกินอะไร กินได้ทุกอย่างหรือเปล่า”
“ค่ะ ใบตองกินได้ทุกอย่าง”
“งั้นกินพิซซ่าไหม” พอเดินผ่านร้านพิซซ่าก็ทำให้ภูเมฆานึกถึงตนเองในวัยเด็ก ซึ่งตอนนั้นกว่าจะได้กินแต่ละครั้งก็ต้องรอจนกว่าจะมีผู้ใหญ่ใจดีซื้อมาเลี้ยง