“คุณใหญ่” ข้าวหอมต้องครางเสียงสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของลำตัวแกร่ง ไม่นานมีน้ำใสๆ หยดลงบนพวงแก้ม ขณะอาชาค่อยๆ ลดความรุนแรงของการจูบลงแล้วเปลี่ยนเป็นนิ่งงัน
มือนุ่มรีบยกขึ้นไปเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้น ขณะสายตายังจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกห่วงใย อาชานั้นรู้สึกว่าปลายนิ้วเรียวเปรียบเสมือนหนามแหลมคมที่ทิ่มแทง ยิ่งความอาทรยิ่งทำให้รู้สึกว่ามวลอากาศรอบตัวลดน้อยลง ไยเจ้าของร่างเล็กถึงแสดงความรู้สึกเช่นนั้น ในเมื่อตนก็ร้ายใส่มาตลอด
กระทั่งไม่อาจต้านทานความปวดร้าวได้ไหวจึงปัดมือบางทิ้ง แต่ข้าวหอมกลับระบายยิ้มเศร้าให้อีกรอบพร้อมค่อยๆ แตะฝ่ามือลงบนแก้มสากแล้วลูบเบาๆ ด้วยท่าทางรักใคร่ นั่นยิ่งส่งผลให้หัวใจดวงกระด้างบีบรัดตัวอย่างหนัก จนอาชาต้องเบือนหน้าหนีแล้วรีบพลิกตัวลงนอนพร้อมทั้งหันหลังให้
ส่วนสาวเจ้าขยับตัวลุกขึ้น ทอดสายตามอง ก่อนรู้สึกเจ็บเมื่อเห็นรอยแผลเป็นบนหลังกว้าง
อาชานอนกำมือ เขาพยายามข่มระงับอารมณ์เพราะไม่อยากทำอะไรร้ายๆ ลงไปมากกว่านี้ ไม่อยากจะกลายไปเป็นปีศาจร้ายดังมารดา อีกอย่างกำลังรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ต่อผู้หญิงตัวเล็กๆ เขาเป็นผู้ชายอกสามศอกกลับไม่เข้มแข็งเท่าเจ้าหล่อน ทว่าก็ไม่อาจห้ามความเจ็บที่ล้นทะลักออกจากอก
“เราไปหาหมอกันไหมคะ” แม้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาจะมีแต่ความหมางเมิน หญิงสาวเลือกจะมองข้าม จากนั้นขยับตัวไปใกล้แล้วโน้มใบหน้าลงไปจูบแผลที่หลังของอาชา ทำให้ชายหนุ่มชะงักแล้วพยายามขยับตัวหนี โดยปากนั้นก็ร้องถาม
“ไปทำไม”
“ข้าวอยากพาคุณใหญ่ไปรักษาแผลที่หลัง”
เธอบอกเสียงหนัก มีแต่ความหวังดีมอบให้ถึงจะรู้ว่า ชายตรงหน้าไม่เคยเต็มใจรับ ก่อนหัวใจจะหายวาบยามอาชาพลิกตัวกลับมามองด้วยนัยน์ตากร้าวกระด้าง เพราะรอยแผลเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนสำหรับความรู้สึกของเขา
“ฉันไม่ต้องการ” คนมีอดีตกล่าวเสียงเข้ม ลมหายใจระอุร้อนขึ้นเนื่องด้วยใจคิดไปในแง่ร้าย ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ล้วนรังเกียจและกลัวรอยแผลฉกรรจ์ ขนาดเขาเองเมื่อนึกถึงมันยังร้าวไปทั้งใจ พริบตาเดียวใบหน้ากลับมาเรียบเฉยเก็บซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใน เพราะไม่ต้องการความสงสารจากใครทั้งนั้น
“แต่ข้าวอยากให้คุณใหญ่หาย เราไปกันเถอะนะคะ” บางทีถ้ารอยแผลบนหลังจางหาย รอยด่างภายในใจอาจจะลบเลือนไปได้บ้าง
ในนาทีต่อมาอาชาขยับตัวลุกขึ้นโดยไวเพราะตีความหมายของถ้อยคำหญิงสาวด้วยใจมีทิฐิพร้อมเอ่ยบอกเสียงเฉียบ
“ถ้าเธอรังเกียจก็ไม่ต้องมายุ่ง”
“ข้าวไม่เคยรังเกียจ ข้าวแค่อยากให้คุณใหญ่หาย” ถึงกับต้องผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ หลังได้ยินประโยคร้อนๆ ของอาชา พลางเผยอปากหมายจะอธิบาย ทว่าได้ถ้อยคำขับไล่ตอบกลับมาแทน
“ออกไปซะ!”
วาจานั้นบอกถึงความเด็ดขาด แววตาบอกเพื่อย้ำว่าเจ้าหล่อนไม่สมควรดื้อรั้น ด้านข้าวหอมรู้ว่าตนเองสมควรถอย ไม่อาจรุกคืบเข้าไปมากกว่านี้เกรงว่า จากที่อยากจะรักษารอยร้าวกลับกลายไปเป็นเพิ่มพิษบาดแผล
ไม่นานเท้าเล็กก้าวออกจากห้อง กระนั้นสายตาไม่วายทอดมองบอกความรู้สึก โดยอาชาหันมองเพียงครู่ ก่อนหันหลังให้ราวไม่สนใจทำอย่างกับมันไร้ค่า
คนเจ็บช้ำทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเหมือนหมดแรง หัวใจช่างอ่อนล้า ไม่รู้ทำไมถึงไม่เข้มแข็งเสียทีกับเรื่องราวในอดีต มันเคยดีขึ้นครั้งที่มีความรัก ครั้นพอถูกหักหลังก็กลับมาในจุดเดิมแถมแย่กว่าเก่า สองมือค่อยๆ ยกขึ้นมาปิดหน้าเมื่อประตูห้องได้ถูกปิดลงด้วยฝ่ามือบาง
ข้าวหอมหยุดอยู่หน้าห้อง ความรู้สึกของเธอคงส่งผ่านไปไม่ถึงคนรับหรืออีกนัยหนึ่งเขาอาจจะไม่ต้องการมัน โดยไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะดีขึ้นได้อย่างไร ต้องก้าวเดินอีกเท่าใดถึงจะเจอแสงสว่างในเมื่อเพื่อนร่วมทางเลือกจะเดินแต่ถอยหลัง
‘ข้าวหวังว่าสักวันคุณใหญ่จะเปิดใจ’ถึงวันนั้นเมื่อใดรับรองอาชาจะมีความสุข เธอรับประกัน
-----------------
ตอนที่ 5
ด้วยหัวใจไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่
“ทำไมถึงอยากพาลูกไปด้วย”
น้ำเสียงได้ดังเล็ดลอดจากริมฝีปากหนา สีหน้าพบความฉงนฉงาย ไม่เข้าใจจึงต้องเอ่ยถามปลายสายออกไปขณะกำลังนั่งพิจารณาเอกสารสำคัญอยู่ภายในห้องทำงาน
ในชั่วอึดใจนัยน์ตาขุ่นฉายแววเครียดแกมวิตกพอได้ฟังประโยคยืดยาวจากการอธิบายของอดีตภรรยา ซึ่งเผลอกำโทรศัพท์มั่น เกิดตะกอนอารมณ์ไม่พึงพอใจลอยขึ้นมาเหนือทุกสิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลับมา แถมยังคอยรังควานทุกคนในชีวิตของเขา
“งั้นฝากบอกหนูเจ้าด้วยว่าผมคิดถึง”
อาชาถอนใจเฮือก ได้แต่บอกความคิดถึงฝากผ่านสายโทรศัพท์ไป ซึ่งไม่คิดขัดและเห็นดีเห็นงามด้วยเพราะห่วงในความปลอดภัยของจันทร์เจ้า
ความโกรธและเจ็บปวดวิ่งทะลุอกเข้ามาราวกับลูกดอกอาบยาพิษ ฤทธิ์ของมันรุนแรงและทรงอานุภาพประหนึ่งระเบิดลูกโตเพราะมีพลังการทำลายล้างสูง ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ใจของอาชาย่อยยับ แถมยังมีผลข้างเคียงจนมาถึงทุกวันนี้
นัยน์ตาของชายหนุ่มแดงก่ำขึ้นมาเพราะทุกความรู้สึก ทุกภาพเหตุการณ์ยังวนเวียนอยู่ในสมองตอกย้ำเตือนว่าเขาเจ็บเท่าใด และไม่มีสิ่งไหนมารักษาให้หายได้ แม้กระทั่งหัวใจของข้าวหอมที่เขานั้นจะขว้างทิ้งหากเจ้าหล่อนหยิบยื่นมาให้
กระทั่งได้ยินเสียงของเลขาฯ รายงานผ่านอินเตอร์โฟน
“คุณใหญ่คะคุณท่านมาขอพบ”
จากนั้นไม่นานอาชาต้องรีบลุกขึ้นไปต้อนรับบิดา ซึ่งสีหน้าของอารัญบ่งบอกถึงความเคร่งเครียด โดยชายหนุ่มพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องใด ก่อนทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟา
หัวอกคนเป็นพ่อนั้นทุกข์ระทมเมื่อไม่ว่านานเท่าใดก็ไม่สามารถดึงลูกชายออกจากวังวนของอดีต กี่ปีมาแล้วที่ต้องพบความช้ำร้าวผ่านนัยน์ตาสีเข้ม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นกระตุ้นกระแสความชิงชังให้ทบทวี ไม่มีทางเลยที่จะหาน้ำมาดับไฟในใจเมื่อคนจุดยังพยายามจะเติมเชื้อไฟลงมาเรื่อยๆ
“พ่อได้ข่าวว่าอารดาไปหาแกที่บ้าน” มาถึงก็เปิดประเด็นสำคัญที่ต้องการรู้ทันทีและเรื่องนี้ถือว่าใหญ่พอตัวจึงเป็นกังวล
“ครับ แต่พ่อไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เป็นไปตามคาดพลางแย้มยิ้มไม่อยากให้บิดาต้องเครียด อีกอย่างเขายังพอจะรับมือไหว อย่างไรก็ต้องอดและทนพร้อมทั้งฝ่าฟันให้ทุกอย่างพ้นผ่านไป เขาจะไม่ล้ม จะไม่อ่อนแอ
“ใหญ่ไหวไหม” อารัญอดห่วงไม่ได้
“ไหวสิครับ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงผมแล้วใครเป็นคนบอก ข้าวหอมหรือครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม ไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงจึงปิดปากเงียบ ไม่รู้ใครกล้านำความไปแจ้ง
“หนูข้าวไม่ได้บอกพ่อหรอก แต่ลูกน้องมารายงาน”