ซูเหวินเฉียงที่ได้สติเร่งรีบมาที่บ้านของนายท่านอวิ๋นทันที แต่ทว่ายังไม่ถึงเวลานัดนั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้ามาพบได้จนกระทั่งถึงเวลา แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นำรถมาจอดด้านใน และต้องเดินเข้ามาแน่นอนว่าระยะทางทำให้กินเวลาไปถึงสิบห้านาที และนั่นดูเหมือนว่าจะไม่ทันการ
“คุณคะนั่นรถของตระกูลหลิวนี่คะ” ไป๋หรูอิงบอกพลางเร่งฝีเท้าให้ทัน แต่ดูเหมือนว่ารถกำลังแล่นออกไปแล้ว
“ไม่ทันแล้ว...คราวนี้แย่แล้ว” ซูเหวินเฉียงตลอดมาไม่เคยใส่ใจลูกสาว รู้เพียงแค่ลูกสาวไม่ได้ชอบบ้านคุณยายที่ชนบทชานเมืองนัก แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวครั้งมันจะกระทบไปถึงความมั่นคงของตระกูลอีกด้วย
“ทำยังไงกันดีคะ” ซูเหยียนหลิงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองพลาดครั้งใหญ่ เพราะว่าซูจิ้งหนานที่เธอคิดว่าไม่มีแม่หนุนหลัง แท้ที่จริงแล้วคุณยายของเธอค่อนข้างมีอำนาจต่อรองกับตระกูลใหญ่ทั้งสี่
“ฉันจะไปหานายท่านอวิ๋นก่อน” ซูเหวินเฉียงบอกเสียงสั่นก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าไปแต่เมื่อถึงหน้าคฤหาสน์กลับเจอคุณเทียนคนสนิทของนายท่านอวิ๋นฉ่าย
“เอ่อ...คุณเทียนครับผมมาขอพบคุณท่านครับ”
“คุณท่านฝากสิ่งนี้มาให้คุณครับ เมื่อคุณหนูหลิวอี้ตายไป สัญญาทุกอย่างควรเป็นโมฆะนานแล้ว ดังนั้นตระกูลเราไม่เกี่ยวข้องทางการค้ากับตระกูลซูอีก จากนี้ก็พยายามด้วยตัวเองก็แล้วกันนะครับ”
ฮะ...หา...พยายามด้วยตัวเองหมายความว่ายังไง แต่ยังไม่ทันจะได้ทรุดลง อวิ๋นไห่เฉินก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลำบากใจ
“เสียใจด้วยครับคุณลุงซู เรื่องการค้าของเราคงต้องยุติเท่านี้”
ถ้อยคำของนายน้อยตระกูลอวิ๋นยิ่งตอกย้ำความล่มจมของตระกูลซูลงไปอีก เพราะว่ายามนี้ไม่มีซูจิ้งหนานงั้นเหรอ นี่เขาทำอะไรลงไป
แต่เมื่อเขาจะร้องขอความเห็นใจ คุณชายรอง หานอวี้เฉิงก็เดินเข้ามาตบบ่าอวิ๋นไห่เฉินก่อนจะพยักหน้า แต่ทว่าเขากลับฉุกคิดได้
“คุณชายรองหานครับ...โปรดช่วยตระกูลซูด้วยนะขอรับ”
หานอวี้เฉิงปกติไม่ค่อยยุ่งเรื่องของตระกูลใดอยู่แล้ว จึงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
“เรื่องนี้ตระกูลหานเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ครับ เรื่องระหว่างตระกูลอวิ๋นกับตระกูลหลิว คาดว่าคุณลุงน่าจะทราบดี ส่วนเรื่องตระกูลซูนั้นไม่อยู่ในสัญญาใด ๆ ของเรา เท่ากับทั้งหมดคือเรื่องส่วนตัว”
ถ้อยคำนั้นทำให้ซูเหวินเฉียงแทบล้มทั้งยืน เพราะว่านี่เท่ากับตัดทางรอดของพวกเขาไปอีกหนึ่งทาง จากนี้เหลือแค่ตระกูลหลี่กับตระกูลซ่งที่พอจะมีทางให้เขาก้าวเดิน
แต่ตระกูลหลี่คงไม่มีวันนั้นส่วนตระกูลซ่งไม่แน่นักอาจจะพอมีทางพยุงการค้าของพวกเราตระกูลซูไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องหาแผนรองรับสำหรับสองตระกูลนี้ให้ จงได้
แม้ทางตระกูลซูจะวุ่นวายแค่ไหน ซูจิ้งหนานกลับสบายใจที่สุดเพราะว่าได้มาอยู่บ้านของคุณยาย บ้านเกิดของแม่ในร่างนี้นั่นเอง
บ้านใหญ่ของตระกูลหลิวตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ห่างจากตัวเมืองเซี่ยงไฮราวครึ่งวันทางรถ แต่กลับเงียบสงบราวโลกอีกใบ
เรือนไม้สี่ประสานแบบจีนประยุกต์ขนาดใหญ่ที่ทอดตัวไปตามความลาดชันของผืนดิน ถูกโอบล้อมด้วยไผ่สูงและต้นสนอายุกว่าร้อยปี เสียงใบไม้เสียดสีลูบไล้กับสายลมเบา ๆ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ตรงนั้น
เช้าวันนั้นมีหมอกบางปกคลุมทั่วบริเวณ ละอองขาวลอยวนเคลื่อนไปในอากาศคล้ายผ้าฝ้ายที่ถูกโยนเล่นกลางอากาศ
กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นใบชาที่ปลูกเรียงเป็นแปลงในสวนหลังเรือน ทำให้ซูจิ้งหนานสูดลมหายใจเข้าอย่างลึก รู้สึกราวกับปอดที่เคยห่อเหี่ยวในเมืองใหญ่ ได้รับการชำระล้าง
เสียงน้ำจากลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลขนานกับทางเดินหินกรวด ดังกระทบโขดหินเป็นจังหวะนุ่มนวล ขับกล่อมให้หัวใจเธอสงบอย่างประหลาด
ประตูไม้สักเก่าหลายบานที่ตกแต่งด้วยลวดลายแกะสลักมือจากช่างฝีมือรุ่นเก่า ๆ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ เหมือนเป็นผู้เฝ้าความทรงจำในอดีต
ที่หน้าศาลเจ้าเล็ก ๆ ตรงหัวมุมบ้าน มีธูป 3 ดอกที่ถูกจุดเอาไว้ ควันลอยเบา ๆ เคล้ากับหมอกยามเช้า เหมือนพรจากบรรพชนยังคอยดูแลตระกูลหลิวอยู่
กระถางต้นไม้ดินเผาเรียงอยู่ทั่วชานเรือน เต็มไปด้วยกล้วยไม้ป่ากับกุหลาบพันปีที่คุณยายสวี่เซียนหรูดูแลด้วยมือของท่านเอง
ทุกอย่างในบ้าน…ดูสะอาด เรียบร้อย และเรียบง่ายแต่กลับแฝงด้วยความสง่างามที่ไม่ต้องแต่งแต้มอะไรเพิ่มเติม
ซูจิ้งหนานยืนอยู่บนชานเรือน มองผ่านม่านหมอกที่ขับแสงอาทิตย์ให้ดูนุ่มนวลลงไปอีก ใจที่เคยเย็นชาและเครียดเกร็ง…อุ่นขึ้นทีละนิด
“ที่นี่…เหมือนสวรรค์ซ่อนอยู่กลางโลกมนุษย์เลย”
เธอคิด…แล้วอดยิ้มไม่ได้
เมื่อวานเธอมาถึงที่นี่เกือบมืดแล้ว หลังจากทำธุระเสร็จสิ้นก็รีบกลับทันที ข้าวของต่าง ๆ ป้าหลินเป็นคนจัดการให้เธอ ส่วนห้องนอนนั้นเป็นห้องนอนของแม่ที่ใหญ่มาก ๆ ใหญ่กว่าห้องที่บ้านตระกูลซูเสียอีก
เธอหลับเต็มอิ่มมาก ๆ และตื่นมาในเช้าที่แสนจะสดใส
“เฮ้อ...นางร้ายรอดแล้ว”
เสียงตะโกนของเธอทำให้คนที่ตื่นเช้าจนชินแล้วเดินออกมามองว่าหลานสาวเป็นอะไรไป
“หนานหนาน ตื่นแล้วหรือหลาน ออกมากินข้าวเช้าเร็วเข้า” สวี่เซียนหรูเรียกหลานสาวเมื่อเห็นว่ากำลังกางแขนรับพลังตั้งแต่ตื่นนอน
“ค่ะคุณยาย”
เมื่อคุณยายเรียกซูจิ้งหนานจึงรีบล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำตั้งแต่เช้าเพื่อให้สดชื่น ก่อนจะเปิดหนังสือดูว่าห้วงมิติมีอะไรที่เธอใช้ได้บ้าง
เมื่อคืนตอนมาถึงเธอจัดเอาไว้คร่าว ๆ แล้วมีครีมที่ทำให้หน้าสวยใสอีกด้วย และแน่นอนว่าเธอเลือกมาทาหน้าเพื่อให้คืนความกระจ่างใสให้กับใบหน้าที่เคยฉาบทาเครื่องสำอางและล้างไม่สะอาดจนเริ่มมีริ้วรอยบางอย่างขึ้น
และราวกับเครื่องสำอางนี้เหมือนของวิเศษ ใบหน้าของเธอกระจ่างใส่ทันตา และเธอก็แต่งชุดน่ารักที่สุดลงมาทานข้าวกับคุณยาย เมื่อเห็นใบหน้าของคุณยายของเธอซูจิ้งหนานอมยิ้มขบขันทันที
“คุณยายคะ...หน้าหนูมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกหลาน เพียงแต่ใบหน้าดูเหมือน...”
“เหมือนอะไรคะ...หนูเริ่มกลัวนิด ๆ แล้วนะคะ” เธอแกล้งทำหน้าตื่นตกใจ และรู้หรอกว่าคุณยายเห็นใบหน้าอ่อนวัยของเธอต้องตกใจแน่ ๆ
“จะอะไรเสียอีกเล่า...ก็สวยมาก สวยกว่ายาย สวยกว่าแม่ของหลาน สวยกว่าเด็กสาวที่ไหนเสียอีก จนยายชักหวั่นใจเสียแล้วสิ”
ซูจิ้งหนานอดขำไม่ได้เลย นี่เธอใช้ครีมเพิ่มความสวยแค่ครั้งเดียวทำให้คุณยายตกตะลึงขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่จริงน่า
“สวยขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ใช่สิ”
“เพราะบ้านของคุณยายแน่ ๆ พอจิตใจเบิกบานใบหน้าก็สวยขึ้น” เธออ้างไปเพราะแค่ย้ายบ้านก็สวยทันตาเห็น แต่ทว่าความสวยของเธอชักเริ่มเป็นภัยนิด ๆ แล้วเมื่อคุณยายเดินไปยังโทรศัพท์ แล้วหมุนโทรออกไปยังบ้านตระกูลอวิ๋น
“ตาเฒ่าอวิ๋น...พรุ่งนี้ฉันจะพาหลานสาวของฉันไปออกงาน ช่วยเตรียมบัตรเชิญด้วยนะ”
หา...เดี๋ยวก่อนคุณยาย...คุณยายจะพาหนูออกงานไม่ได้นะคะ
แต่ดูเหมือนคุณยายจะไม่หันมาสบตาเธอเลยสักนิด
เฮ้อ!
(พรุ่งนี้รถจากตระกูลอวิ๋นจะไปรับ เธอรอที่นั่นเถอะ)
“ก็ได้ฉันจะรอ”