“เลิกเรียนสักที” เกวลินเดินออกจากห้องเรียนหลังเลิกคลาส บิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้าท่าทางอารมณ์ดี แต่กลับต้องหุบยิ้มเพียงเพราะได้ยินเสียงแหลมที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ได้ข่าวว่าเธอยังไม่ได้ที่ฝึกงาน ให้ฉันช่วยฝากเธอฝึกงานบริษัทวัฒนะกุลเอาไหม” มาเบลหญิงสาวในชุดนักศึกษารัดรูป บุคคลที่มักชอบแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับเกวลินอยู่เสมอ
“สบายหูได้ไม่นาน โผล่มาทำไม” เกวลินตอบกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงรำคาญใจ เมื่อบุคคลที่เธอเบื่อโผล่กลับมากวนใจ
“ยายเกวลิน” มาเบลกัดฟันกรอดเอ่ยปากเรียกชื่อเกวลิน ที่กำลังยืนกอดอกจ้องมองมายังเธออยู่ก่อนแล้ว
“ฉันรู้จักชื่อตัวเอง อ้อ ขอบใจที่ใส่ใจฉันนะ”
“นี่เธอหาว่าฉันเสือกเหรอ” มาเบลชี้หน้าเกวลินท่าทางฉุนเฉียว แต่กลับทำได้เพียงกระทืบเท้าเสมือนเด็กเอาแต่ใจก็ไม่ปาน
“ฉันไม่ได้พูด เธอพูดเอง” เกวลินยกยิ้มมุมปากดั่งนางร้ายในละคร มากกว่าจะเป็นนางเอกที่ถูกกระทำ
“ฉันก็แค่เห็นใจเธอ เพราะตอนนี้ฉันได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทวัฒนะกุล บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ”
“อ้อเหรอ” เกวลินลากเสียงยาว ท่าทางเฉยเมยต่อเรื่องเล่าที่ของมาเบล ที่กำลังเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเสมือนกำลังเป็นต่อเกวลิน
“เกวลินอย่าบอกนะ ว่าเธออิจฉาฉัน”
“ฉันจะอิจฉาเธอไปทำไม? ในเมื่อฉันก็ได้ฝึกงานที่วัฒนะกุลเหมือนกัน”
“ไม่จริง” มาเบลตอบกลับเสียงแข็ง ที่มาพร้อมกับท่าทางหงุดหงิด ไม่พึงพอใจอย่างมาก
“งั้นไปเจอกันที่ฝึกงานแล้วกัน บาย” เกวลินยกมือโบกไปมา พลันเดินเชิดหน้าเดินไปยังลิฟต์ที่กำลังเปิดอยู่อย่างมีจริต
“ไหนแกบอกไม่ไปฝึกที่บริษัทสามีตัวเองไง” เชอรีนเดินตามหลังมาติด ๆ พลันกระซิบถามเกวลินด้วยความข้องใจปนอยากรู้
“เปลี่ยนใจแล้วไง ก็ฉันไม่อยากเสียหน้า” เพราะไม่อยากเสียหน้าและชอบเอาชนะคนอย่างมาเบล เกวลินจึงตอบส่ง ๆ กลับไปโดยไม่ได้คิด
“แต่ฉันได้ยินมาว่าบริษัทวัฒนะกุล อยู่ ๆ ก็เปิดรับนักศึกษาฝึกงานทุกแผนก แผนกละสองคน”
“จริงดิ” เกวลินเบิกตาโตด้วยความตกใจ เสมือนประตูแห่งแสงสว่างกำลังเปิดต้อนรับตนเองอยู่เบื้องหน้า
“หน้าดูมีความหวังขึ้นมาทันที” พิพิมยกยิ้มมุมปาก หลุดเสียงหัวเราะชอบใจออกมากับท่าทางโล่งอกของเกวลิน
“ฉันส่งอีเมลไปแล้ว ไม่เห็นตอบกลับเลย ช่วงนี้ทำไม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าข้างวะ” เกวลินยกมือถือตนเองขึ้นมาเช็กอีเมล แต่กลับยังคงว่างเปล่า จนต้องตัดพ้อด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสลดไปเล็กน้อย
“งั้นก็รีบไปอ้อนสามี จัดการเรื่องฝึกงานให้สิ” เชอรีนชูสองนิ้วเป็นเชิงให้กำลังใจ มาพร้อมสีหน้าฮึกเหิมส่งให้เกวลินที่ยืนทำหน้าเสมือนคนใกล้หมดลมหายใจ ไร้การตอบสนอง
“ฉันไม่เคยอ้อนและไม่คิดจะอ้อนค่ะ” เพราะไม่เคยอ้อนและมักจะโต้เถียงกันอยู่เป็นประจำ ศักดิ์ศรีค้ำคอจนแทบไม่อยากเอ่ยปากขอความช่วยเหลือหรือออดอ้อนให้ชายหนุ่มเห็นใจ
“พูดถึงสุดหล่อของแกก็มาเลย” เชอรีนชี้ไปยังรถยนต์คันหรูที่กำลังจอดข้างฟุตบาทบริเวณหน้าคณะ
“เบื่อขี้หน้าจะแย่” เกวลินทำได้เพียงถอนหายใจพรืดยาวด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยอาการเบื่อหน่าย
“จริงเหรอ” พิพิมทวนคำเกวลินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยท่าทางหยอกล้อ
“จริงมาก งั้นฉันกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” เกวลินกระแทกเสียงตอบกลับทันที พลันเอ่ยปากบอกลาพิพิมและเชอรีน เดินมุ่งตรงไปยังรถยนต์ที่จอดติดเครื่องอยู่
เพียงแค่เกวลินขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ หญิงสาวจึงรีบยิงคำถามที่ตนเองอยากทราบออกมาทันที ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังประกายออกมา
“คุณรู้ไหม? วัฒนะกุลเปิดรับนักศึกษาฝึกงาน”
“ไม่รู้” เตชินท์ตอบปฏิเสธโดยฉับพลัน ตั้งใจขับรถออกจากรั้วมหา’ลัย ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเกวลิน
“ฉันส่งประวัติไปแล้ว ไม่เห็นตอบรับเลย” เกวลินไม่อยากเอ่ยปากขอร้องอ้อนวอนให้เตชินท์ช่วยเหลือ หญิงสาวจึงยัดคำพูดที่คิดว่าเตชินท์ต้องรับรู้ถึงความต้องการความช่วยเหลือของเธอ
“ทำไม?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เนื่องจากเรื่องนี้เขาเป็นคนสั่งการด้วยตนเอง แต่เหตุใด?เกวลินจึงยังไม่ได้รับอีเมลตอบกลับอีก
“อ้าว จะไปรู้เหรอ”
“ส่งข้อมูลใช้นามสกุลอะไร” มีไม่กี่สาเหตุที่เกวลินยังไม่ได้รับอีเมล จนพลันให้เอ่ยถามสกุลที่หญิงสาวยื่นข้อมูลไป
“นามสกุลเก่าฉันไง” เกวลินตอบกลับโดยไม่ลังเลใจ แม้ว่าเอกสารทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนไปเกือบหมดแล้ว แต่บัตรนักศึกษาของเธอยังคงใช้นามสกุลเดิมอยู่
“ทำไมไม่ใช้นามสกุลใหม่ ในเมื่อเอกสารทุกอย่างก็เปลี่ยนหมดแล้ว”
“จะดุทำไม?” น้ำเสียงดุดันจนพลันให้เกวลินไม่เข้าใจ ย่นหน้าผากเข้าหากันด้วยความมึนงงกับอารมณ์ที่หลากหลายของเตชินท์
“สมควร”
“ช่วงนี้เป็นประจำเดือนเหรอ?”
“พูดอะไร?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เหตุใด เกวลินจึงยกเรื่องประจำเดือนขึ้นมาพูดกับเขาเช่นนี้
“เห็นหงุดหงิดตั้งแต่เช้า”
“เพ้อเจ้อ เย็นนี้จะกินอะไร” เตชินท์สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่งที่สุด
“ไหน ๆ คุณก็มารับแล้ว เราแวะทานข้าว ค่อยกลับคอนโดฯ ดีไหม” เกวลินเหลือบมองนาฬิกาในรถยนต์บ่งบอกเวลาเย็น จึงรีบเอ่ยปากเสนอความเห็นของตนเองให้กับเตชินท์ที่กำลังขับรถด้วยท่าทางสบาย
“ร้านไหน” เตชินท์พยักหน้ารับพลันเอ่ยปากถามหาร้านอาหารที่เกวลินอยากทานในเวลานี้
“ไหนก็ได้ ตามใจคุณ” ช่วงนี้แทบจะคิดร้านอาหารหรือเมนูไม่ออก เนื่องจากช่วงนี้เตชินท์มักจะทำหน้าที่เลือกอาหารและสั่งอาหารให้กับเธอจนแทบไม่ต้องคิดเมนูในแต่ละวัน
รถยนต์คันหรูขับมาจอดหน้าร้านอาหารริมทางเล็ก ๆ ทางผ่านคอนโดฯ ที่มักใช้สัญจรเป็นประจำ
“ร้านนี้?” เกวลินเอ่ยปากถามเตชินท์ด้วยความสงสัย กวาดตามองไปยังร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะให้นั่งทานเพียงแค่สามสี่โต๊ะเท่านั้น
“กินไม่ได้” เตชินท์หันมาสบตากับเกวลิน เลิกหางคิ้วเข้มเชิงเอ่ยถาม
“ได้สิ แค่แปลกใจ” เกวลินพยักหน้ารับ พลันเอ่ยปากบอกความรู้สึกแปลกใจออกมา
“แปลกยังไง” แปลกเรื่องอะไร? ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องเอ่ยปากถามเกวลินให้กระจ่าง
“ไม่คิดว่าระดับผู้บริหารบริษัทใหญ่จะทานร้านอาหารข้างทางแบบนี้ได้”
“กินได้หมด” จะร้านไหนหากอาหารถูกปากเขาสามารถทานได้หมด ไม่ต้องระดับห้าดาวทุกวันก็ได้
“กินไม่เลือกนี่เอง” เกวลินเบ้ปากพึมพำกับตนเองเบา ๆ พลันจัดแจงตนเองเตรียมตัวลงจากรถยนต์
“พูดอะไรของเธอ” น้ำเสียงที่เบาหวิวจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ จนพลันทำให้เตชินท์เอ่ยปากถามอีกครั้ง
“บ่นไปเรื่อยเปื่อย หิวแล้ว รีบลงจากรถเถอะ” เกวลินเดินลงจากรถทันที โดยมีเตชินท์เดินตามหลังมาติด ๆ
เพียงแค่เตชินท์ปรากฏตัวคุณลุง คุณป้าร้านอาหารตามสั่ง จึงรีบเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองกับเตชินท์ด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความดีใจ
“อ้าวพ่อหนุ่ม ไม่ได้เจอนานเลยนะ”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ครับ” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ จนเกวลินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันขวับไปมองหน้าชายหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“อ้าว แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ” ป้าเพ็ญศรีเจ้าของร้านเอ่ยปากถามเตชินท์ด้วยความอยากรู้
“ภรรยาครับ”
“แต่งงานแล้วเหรอ? ป้าไม่เห็นไอ้เฟืองรัตน์เล่าให้ฟังเลย” ป้าเพ็ญศรีอุทานด้วยความตกใจกับข่าวสารที่พึ่งได้รับจากเตชินท์ หนุ่มหล่อที่มักเดินทางมาทานอาหารที่ร้านเพียงลำพังมาโดยตลอด
“พึ่งแต่งครับ”
“เรียนอยู่เหรอจ๊ะ” ป้าเพ็ญศรีเปลี่ยนเป้าหมาย หันมาเอ่ยถามเกวลินที่ยืนอยู่ในชุดนักศึกษาพอดีตัว
“สวัสดีค่ะ ใช่ค่ะเรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว” เกวลินยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยท่าทางนอบน้อม
“ภรรยาพ่อหนุ่มสวยมาก สวยเหมือนนางฟ้าเลย” คุณลุงประกิตพูดแทรกขึ้น เอ่ยปากชมเกวลินด้วยความชื่นชม
“ลุงก็พูดเกินไปค่ะ”
“ลุงพูดจริง มา ๆ เชิญนั่งลูก” ลุงประกิตผายมือไปยังโต๊ะที่ตนเองพึ่งเช็ดเสร็จหมาด ๆ ให้กับเกวลินและเตชินท์นั่ง
“ขอบคุณค่ะ” เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม จนเตชินท์ที่ได้เห็นถึงกับทึ่งในตัวเธอไม่น้อยที่มีบุคลิกน่ารักเช่นนี้กับผู้ใหญ่
เตชินท์และเกวลินใช้เวลาจัดการอาหารตรงหน้าไม่นาน และด้วยความหิวโหย อาหารทุกอย่างจึงหมดเกลี้ยงแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
“อาหารที่นี่อร่อยมากเลย ไว้วันหลังหนูจะมาฝากท้องที่นี่อีกนะคะ” เกวลินเอ่ยปากชมอาหารฝีมือป้าเพ็ญศรีไม่หยุด
“ไม่แปลกเลยที่พ่อหนุ่มจะรักหนู” ลุงประกิตเอ่ยปากชมเกวลินไม่หยุด ยิ่งได้เห็นนิสัยน่ารักของหญิงสาว ยิ่งชื่นชมและไม่แปลกใจที่เตชินท์หลงรักผู้หญิงคนนี้
“คุณลุงก็พูดไปค่ะ”
“แค่เห็นสายตา ลุงก็มองออกแล้ว”
“คุณลุงพูดแบบนี้ เดี๋ยวเจ้าตัวก็เขินหรอกค่ะ” เกวลินเหล่มองเตชินท์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลันอมยิ้มท่าทางน่ารักส่งให้คุณลุงประกิต
“งั้นผมขอตัวภรรยากลับก่อนนะครับ ส่วนนี้ค่าอาหารครับ” เตชินท์โน้มศีรษะเล็กน้อย ยื่นแบงก์สีเทาให้กับคุณป้าเพ็ญศรีสำหรับค่าอาหารมื้อนี้
“ไม่เอาพ่อหนุ่ม ถือว่ามื้อนี้ลุงกับป้าเลี้ยง” ลุงประกิตปฏิเสธ ยกมือห้ามปรามเตชินท์เอาไว้เสียก่อน
“ไม่ได้สิครับ ของซื้อของขาย”
“ลุงกับป้าแค่อยากขอบคุณพ่อหนุ่ม ที่รับเฟืองรัตน์เข้าทำงาน แถมยังมีรถประจำตำแหน่งและที่พักให้อีกด้วย”
“ครับ?” เตชินท์ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแคลงใจ กับประโยคบอกเล่าของคุณป้าเพ็ญศรีที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มดีใจและขอบคุณในคราเดียว
“ช่างเป็นเจ้านายที่ประเสริฐจริง ๆ”
“คือผมคิดว่าคงมีเรื่องเข้าใจผิด” เตชินท์พยายามแย้งคำพูดของคุณลุงคุณป้า แต่กลับไม่มีจังหวะได้เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกลัวภรรยาจะคิดว่าพ่อหนุ่มมีกิ๊กหรอก”
“นางหนูเฟืองรัตน์เป็นหลานสาวของป้าเอง พ่อหนุ่มคนนี้ใจดีก็เลยฝากงานให้ทำที่บริษัท ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่เลยจริง ๆ”
“หนูไม่ได้คิดมากค่ะ” เกวลินยิ้มรับ เหลือบไปมองเตชินท์ที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่กลับกลืนทุกคำถามลงลำคอหนาเงียบ ๆ
“เมียพ่อหนุ่มใจกว้างจริง ๆ” คุณลุงประกิตตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใสที่ปนไปด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ เตชินท์จึงขอตัวกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางสุภาพ
“งั้นผมขอตัวครับ”
“นี่แอบเลี้ยงเด็กเหรอ?” เกวลินอดแซวเตชินท์ไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางอึดอัดเสมือนต้องการตั้งคำถามกลับ ยิ่งทำให้เกวลินอดขำกับท่าทางไม่ได้
“เปล่าสักหน่อย” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาจะเลี้ยงเด็กไปทำไม? ในเมื่อตัวเองก็มีภรรยาเด็กอยู่แล้ว
“งั้นก็แสดงว่าบริษัทคุณให้สวัสดิการพนักงานเยี่ยมมากแน่ ๆ”
“ปกติทั่วไป”
“อ้าว ก็แล้วเมื่อกี้คุณลุง คุณป้าบอกว่ามีรถประจำตำแหน่ง มีคอนโดฯ ให้ หมายความว่ายังไงล่ะ” เกวลินอดสงสัยคำพูดของคุณลุงคุณป้าไม่ได้ จนต้องเอ่ยถามออกมาด้วยความแคลงใจ
“หึงไม่เข้าเรื่อง” เตชินท์สบถคำออกมาเบา ๆ ยกยิ้มมุมปากพลันส่ายศีรษะเบา ๆ เต็มไปด้วยความเอือมระอา
“เอ๊ะ! ใครหึงคุณ ฉันแค่ถามเฉย ๆ” เพียงแค่ตนเองถูกกล่าวหา เกวลินจึงแว้ดเสียงใส่เตชินท์อย่างเผลอลืมตัว
“ทำหน้าที่เมียว่างั้น” รอยยิ้มมุมปากดั่งคนเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้าหล่อเหลา เสียงหัวเราะชอบใจกับท่าทางเลิ่กลั่กของเกวลินเสมือนถูกจับได้ว่ากำลังทำอะไรผิดก็ไม่ปาน