เช้าที่แสนสดใส เกวลินสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อยยืนแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องมองตัวเองผ่านบานกระจกใสสะท้อนภาพตนเอง พลันพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มหวาน
“เงินอะไรเต็มกระเป๋าชุดนอนเลยวะ? หรือที่เขาบอกว่าเกิดบนกองเงินกองทอง”
“พึมพำอะไรอยู่คนเดียว รีบมากินข้าวเช้าได้แล้ว” เตชินท์เดินออกจากห้องแต่งตัว สวมชุดสูทดูภูมิฐาน เดินผ่านเกวลินและไม่ลืมเร่งรีบหญิงสาวที่กำลังใจเย็นอยู่
“บ่นเป็นพ่อไปได้” เกวลินเก็บเครื่องสำอางเอาไว้ที่เดิม เดินตามหลังเตชินท์ออกไปยังโต๊ะทานอาหารเช้าที่ถูกสั่งโดยฝีมือชายหนุ่มเช่นเคย
“ไม่เถียงสักคำจะตายไหม” เตชินท์ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ จิบกาแฟร้อนที่เตรียมเอาไว้ท่าทางสุขุม พลันหยิบหนังสือพิมพ์ธุรกิจขึ้นมาอ่านฆ่าเวลารอเกวลินทานอาหารเช้า
“ตายอยู่นะ คุณจะรอหนูทำไมล่ะ” ร่างบางตอบกลับทุกประโยค เบะปากด้วยความหมั่นไส้กับท่าทางสุขุม
“รถเธอยังซ่อมไม่เสร็จ”
“จะรอเป็นคนขับรถว่างั้น”
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอ” เตชินท์พูดแทรกขึ้นเสียงเข้ม ส่งสายตาติเตือนเกวลินเป็นนัย ๆ กลับคำพูดกวนประสาทของหญิงสาว
“คุณเมื่อคืน” เมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่อยู่ในกระเป๋าชุดนอน เกวลินจึงเอ่ยถามเตชินท์ขึ้น จัดแจงทานอาหารที่อยู่ตรงไปพลาง ๆ
“เมื่อคืนทำไม” แก้วกาแฟกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง หนังสือพิมพ์ที่เคยอ่านกลับถูกพับลงฉับพลัน
“หนูจะถามว่า เงินอะไรเต็มกระเป๋าเสื้อชุดนอนไปหมด คุณรู้ไหม” ในเมื่ออยู่ด้วยกันสองคน เตชินท์คงทราบดีมากกว่าตัวเธอที่เมาจนความจำเลือนหาย
“จำไม่ได้” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เอ่ยปากถามด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ซอรี่ ลืมบอกไปค่ะ เวลาหนูเมา ตื่นเช้ามามักจำอะไรไม่ได้เลย”
“คราวหลังอย่าดื่มนอกบ้านอีก” เตชินท์เอ่ยเตือนน้ำเสียงเข้ม นี่ขนาดทานไวน์ไปเพียงแค่ขวดเดียวเท่านั้น ยังไม่สามารถจำอะไรได้แม้แต่น้อย
“หงุดหงิดอะไร” เกวลินเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ มึนงงกับอารมณ์ของเตชินท์ที่มักเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วปานจรวด
“รีบกินข้าว” ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไร? แต่รู้เพียงแค่ว่า ณ เวลานี้เกวลินคือบุคคลที่น่าจับฟาดก้นให้หลาบจำ และบทสนทนาทุกอย่างกลับเงียบสงัดไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยปากออกมา
@คณะบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์
รถยนต์คันหรูขับเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าคณะบริหารธุรกิจ เกวลินเก็บมือถือลงในกระเป๋าสะพายข้างและไม่ลืมที่จะเอ่ยปากขอบคุณเตชินท์ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”
“เย็นนี้จะมารับ” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์กรุ่นโกรธของตนเองเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“โอเคค่ะ” ณ เวลานี้คงทำได้เพียงตอบตกลงและเดินลงจากรถยนต์เงียบ ๆ เพียงเพราะหญิงสาวรู้สึกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของชายหนุ่มที่กำลังเดือด
ในขณะที่ร่างบางกำลังจะเดินเข้าไปในคณะ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยทักทายเธอขึ้น
“เกล” สายฟ้าเพื่อนร่วมคลาสเกวลิน แถมยังเป็นผู้ชายที่ตามจีบเกวลินตั้งแต่ปีหนึ่งจนกระทั่งปัจจุบันนี้
“อ้าว สายฟ้าหายดีแล้วเหรอ” เกวลินยิ้มบางตอบกลับ พลันเอ่ยถามหาอาการป่วยของชายหนุ่มขึ้น
“หายแล้ว ถึงได้รีบกลับมาเรียนนี่ไง” สายฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น สายตาทอดมองเกวลินอยู่เนือง ๆ
“โทษทีนะ ฉันไม่มีเวลาไปเยี่ยมนายที่โรงพยาบาลเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” สายฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้าง
“ไหวแน่นะ” เกวลินอดที่จะเอ่ยแซวสายฟ้าไม่ได้ สายฟ้าจัดเป็นผู้ชายนิสัยดีคนหนึ่งที่เธอสามารถเป็นเพื่อนได้ แต่สถานะคนรัก คงต้องขอผ่านเพียงแค่ใจไม่ได้เรียกร้อง
“ไหวสิ” สายฟ้าส่ายศีรษะเบา ๆ กับคำพูดและท่าทางของเกวลินที่กำลังทำเหมือนเขาป่วยหนักจนแทบไม่มีแรงเดิน
จนกระทั่ง เสียงทุ้มต่ำปนดุเอ่ยเรียกชื่อเกวลินดังขึ้น จนเกวลินและสายฟ้าหันไปมองตามต้นเสียงเป็นตาเดียว
“เกวลิน” เตชินท์เดินมาทางเกวลินด้วยหน้าตาเรียบเฉย ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ ในมือถือเสื้อแขนยาวสีกรมติดมือมาด้วย
“ใครเหรอ?” สายฟ้าโน้มตัวเข้าใกล้เกวลิน กระซิบถามให้ได้ยินเพียงแค่สองคน และคำตอบที่ได้จากปากเกวลิน สามารถเรียกคิ้วเข้มให้ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยอีกครา
“ผู้ปกครองน่ะ”
“มีอะไรคะ” เกวลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเต็มประดา
“เธอลืมเสื้อแขนยาว เอาไปสิเดี๋ยวหนาว” เตชินท์เดินมาหยุดตรงหน้าเกวลินและสายฟ้า ยื่นเสื้อแขนยาวให้เกวลิน
“แต่นี่มันหน้าร้อน” เกวลินแทบหลุดอุทานหยาบออกมา แต่กลับต้องกลืนมันลงคอ ทำได้เพียงเอ่ยถามด้วยความแคลงใจเท่านั้น
“เถียง” เมื่อคนตัวเล็กเอ่ยปากแย้งขึ้น เตชินท์จึงใช้น้ำเสียงและสายตาดุดันห้ามปรามเกวลินเอาไว้เสียก่อน
“โอเคค่ะ” สายตาน่ากลัวจวนทำให้เกวลินยื่นมือไปรับเสื้อแขนยาว โดยไร้ซึ่งคำโต้เถียงดั่งเช่นเคย
“ใคร” เตชินท์เหล่ตามองสายฟ้าที่ยืนอยู่ข้างเกวลิน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“เพื่อนร่วมคลาส พึ่งหายป่วยก็เลยทักทายกันนิดหน่อย”
“สวัสดีครับ ผมสายฟ้าครับพี่” สายฟ้าแนะนำตัวด้วยท่าทางนอบน้อม อย่างน้อยผู้ชายตรงหน้าก็ดูภูมิฐานกว่าตนเองมากโข
“อือ” เตชินท์ตอบกลับเพียงเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินกลับไปที่รถยนต์ไร้คำบอกกล่าวหรือเอ่ยลาแต่อย่างใด
เกวลินยกมือเกาท้ายทอยของตนเองด้วยความมึนงง พึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจกับการกระทำที่ยากจะคาดเดาความคิด
“อะไรของเขาวะ?”
“รีบไปเรียนกันเถอะ” สายฟ้าเอ่ยเตือนเกวลินที่ยังคงยืนใช้ความคิด ทอดสายตามองรถยนต์คันหรูที่ขับออกไปจนลับตา
@บริษัทวัฒนะกุล กรุ๊ป
เพียงแค่เตชินท์นั่งประจำเก้าอี้ทำงาน น้ำเสียงโวยวายปนร้อนรนของรณพีร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเขา
“เจ้านายหักเงินเดือนผมทำไมครับ”
“นายไม่ทำงานตามที่ฉันสั่ง” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ใบหน้าติดหงุดหงิดใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องทำงาน
แต่ ครั้งนี้ดูเหมือนรณพีร์จะลืมสังเกตอารมณ์ ณ เวลานี้ของเจ้านายหนุ่มโดยปริยาย พร้อมตอบกลับประโยคโต้เถียงสุดใจ
“แต่งานที่สั่งผมทำจนเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วหนิครับ”
“ยัง”
“เรื่องอะไรครับ” รณพีร์เอ่ยถามด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม พลันนึกคิดทบทวนงานตนเองเนือง ๆ
“นักศึกษาฝึกงาน”
“โธ่ เจ้านายครับ ก็ผมไม่ทราบว่าคุณนายยังใช้นามสกุลเก่าหนิครับ”
“สมน้ำหน้า” เตชินท์ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ กับท่าทางโอดโอยของเลขาหนุ่มที่เสมือนเด็กหนุ่มสามขวบ
“เจ้านายหักผมตั้งห้าพันเลยนะครับ”
“ถ้ายังไม่รีบไปทำงาน จะโดนอีกห้าพัน” ด้วยความรำคาญใจ จนพลันรีบเอ่ยปากและสะบัดมือไล่เลขาหนุ่มให้ออกจากห้อง
“คอยดูนะครับ เมื่อไหร่ที่คุณนายเข้ามาฝึกงาน ผมจะฟ้อง” ณ เวลานี้คงทำได้เพียงเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้ ทำได้เพียงรอภรรยาเจ้านายเข้ามาฝึกงานเท่านั้น
“นายคิดว่าฉันกลัวเมียเหรอ” เตชินท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและประโยคเรียบเฉย นัยน์ตาจ้องเอาคำตอบจากเลขาหนุ่มไม่ละสายตา
“ท่าทางน่าจะเกรงใจมากครับ”
“ก็แค่เกรงใจ” ผู้ชายอย่างเขาบริหารลูกน้องนับพัน ไม่มีทางกลัวภรรยาแน่นอน แต่เรื่องเกรงใจก็คงมีบ้าง เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา
“เกรงใจกับกลัวเมีย มีเพียงแค่เส้นบาง ๆ กั้นอยู่นะครับ”
“ฉันจะทำให้นายเห็น ผู้ชายอย่างฉันเมียต้องกลัวเท่านั้น” คนที่ต้องเกรงกลัวต้องเป็นเกวลินเท่านั้น ไม่ใช่เขาที่เป็นผู้ชายอกสามศอกเช่นนี้