บทที่ 4
ความรับผิดชอบ
กัญญาวีร์น้ำตาร่วงอีกครั้งเมื่อเข้ามาในห้อง ICU แล้วเห็นลูกชายของตนนอนนิ่งอยู่บนเตียงยังไม่รู้สึกตัว ทั้งมีสายระโยงระยางเชื่อมกับร่างกายและต้องสอดท่อเพื่อช่วยหายใจเข้าไปในลำคอ หญิงสาวในชุดปลอดเชื้อซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นยื่นมือสั่น ๆ ออกไปจับมือเล็กของเด็กชาย หัวใจแทบสลายกับภาพที่เห็น รู้สึกสงสารลูกจับจิต เพราะแกยังอายุน้อยมาก ไม่ควรต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้บาดเจ็บจนปางตายเช่นนี้เลย
ทำไมไม่เป็นเธอที่เจ็บแทนลูก แล้วทำไมต้องเป็นเธอกับลูกที่ต้องมาเผชิญโชคชะตาอันโหดร้ายอย่างนี้
“อาการของเด็กเป็นไงบ้างครับ” สหดลที่ยืนอยู่หลังรถเข็นของกัญญาวีร์หันไปถามพยาบาลสาวที่เดินเข้ามาหา
“ตอนนี้อาการยังคงที่ค่ะ การหายใจเริ่มดีขึ้นนิดหนึ่ง เหลือแค่รอให้น้องรู้สึกตัว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดไม่วันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็น่าจะได้ย้ายออกไปพักฟื้นที่ห้องธรรมดา แต่เดี๋ยวต้องรอให้คุณหมอเข้ามาพิจารณาอาการอีกทีค่ะ”
คนฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่คนเป็นแม่ก็ยังไม่คลายความกังวล เพราะไม่รู้ว่าอวัยวะภายในจะเสียหายไปมากน้อยแค่ไหน ทำไมเด็กคนหนึ่งต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ด้วย
“แล้วคุณหมอจะเข้ามาเมื่อไรคะ พอจะทราบไหมคะ” กัญญาวีร์ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วถาม เพราะช่วงสายเธอจะต้องไปพบหมอกระดูก เพื่อฟังคำวินิจฉัยอาการและเข้าเฝือกแขนข้างที่หัก จึงกลัวว่าจะคลาดกับคุณหมอเจ้าของไข้ของลูกชาย
“อืม...ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเข้าก็น่าจะไม่เกินเที่ยงนะคะ” พยาบาลสาวตอบกลาง ๆ ไว้ก่อน เพราะที่รู้มาก็คือวันนี้เป็นวันหยุดของหมอน้ำปิงซึ่งเป็นหมอเจ้าของไข้ของเด็กชายปกป้อง หากก็ได้ยินจากพยาบาลที่ออกเวรไปเมื่อเช้าว่าคุณหมออาจจะแวะเข้ามา เธอเลยไม่แน่ใจในข้อมูลตรงนี้สักเท่าไร ครั้นเห็นสีหน้าเป็นกังวลของคนถาม เธอจึงเอ่ยต่อ “แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงคุณหมอก็จะเชิญคุณแม่เข้าไปคุยเกี่ยวกับอาการของน้องอยู่แล้วค่ะ”
“คือฉันกลัวว่าคุณหมอจะมาตอนที่ฉันไปเข้าเฝือกน่ะค่ะ” คุณแม่ซึ่งเป็นคนป่วยบอกพร้อมก้มมองแขนตัวเองที่ถูกดามเบื้องต้นเอาไว้ เธอเองก็ต้องไปรักษาตัวเช่นกัน
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวดิฉันแจ้งคุณหมอให้ค่ะ หรือถ้ายังไงดิฉันจะแจ้งคุณแม่อีกทีนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” กัญญาวีร์บอกอย่างสุภาพพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ให้
จากนั้นพยาบาลสาวก็ผละออกไปทำงานของตนเองต่อ กัญญาวีร์หันกลับมาสนใจลูกน้อยอีกครั้ง หญิงสาวนั่งเฝ้า จับมือลูกพร้อมกับร้องไห้เงียบ ๆ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้นอกเหนือจากนี้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ สหดลซึ่งเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่เธอต้องไปพบหมอกระดูกจึงชวนกลับห้องพัก เพื่อไปเตรียมตัวรอเจ้าหน้าที่ที่จะมารับไป
พอมาถึงชายหนุ่มก็ยกถาดอาหารที่ทางโรงพยาบาลจัดมาไว้ให้ขึ้นไปให้กัญญาวีร์นั่งรับประทานบนเตียง ครั้นเหลือบไปมองนาฬิกาและเห็นว่าตนต้องไปแล้ว จึงหันไปพูดกับคนป่วย
“ฟาง ฉันต้องไปแล้ว แกอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม ไม่แน่ใจว่าไอ้ยาจะมากี่โมง” ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มลองต่อสายหาสิริกันยาแล้ว ทว่าไม่ได้รับการตอบรับ เป็นไปได้ว่าเพื่อนอาจจะติดธุระกับที่บ้านอยู่ เขาจึงไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะมาเปลี่ยนเวรเฝ้าคนป่วยตอนไหน “แต่ถ้าแกอยู่คนเดียวไม่ได้ ฉันจะได้โทร. ไปแจ้งที่บริษัทขอเลื่อนการประชุม” สหดลบอกต่อด้วยความเป็นห่วง
“ฉันอยู่ได้ ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น” โรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการบริการที่ยอดเยี่ยม หากมีเหตุให้ต้องขอความช่วยเหลือจริง ๆ เธอเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมที่จะให้การช่วยเหลืออยู่แล้ว “แกไปประชุมเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฝากยินดีกับยายฝันด้วย”
สหดลพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ถ้าประชุมเสร็จเร็วอาจจะแวะเข้ามาหาแกก่อน ค่อยไปงานแต่งค่ำ ๆ”
“เอาที่แกสะดวกนะ ฉันดูแลตัวเองได้จริง ๆ” เธอยังเดินเหินได้ปกติ เพียงแต่รู้สึกร้าวระบม หยิบจับอะไรไม่สะดวกเนื่องจากแขนหัก และมีบาดแผลตามร่างกายทำให้การเคลื่อนไหวมีอุปสรรคเล็กน้อย
“โอเค งั้นฉันไปแล้วนะ มีอะไรโทร. มาได้ตลอด”
“อืม ขอบคุณนะ” กัญญาวีร์พยักหน้าพลางส่งยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อน ซาบซึ้งในความปรารถนาดีจากอีกฝ่าย แม้ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ แต่มิตรภาพที่ดีก็ไม่เคยจางหาย และไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ฟื้นยัง”
[ยัง]
“แล้วทำไมยังไม่ฟื้น” น้ำเสียงที่ส่งไปยังปลายสายเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ เมื่อสิ่งที่เฝ้ารอและใจจดใจจ่อมาทั้งวันไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง คนที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีลูกนั่งไม่ติดเก้าอี้ ตลอดทั้งวันเขาแทบไม่มีสมาธิทำงาน กระสับกระส่ายเพราะพะวักพะวงถึงเด็กชายตัวเล็กที่ยังไม่รู้สึกตัวในห้อง ICU
[กูจะรู้รึ]
“มึงต้องรู้ เพราะมึงเป็นคนผ่าตัด” สุดเขตเอ่ยเสียงเข้มเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังจริงจัง ไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบแบบกวนบาทา “มีอาการอะไรแทรกซ้อนหรือเปล่า”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของเพื่อน นายแพทย์น้ำปิงซึ่งเชี่ยวชาญด้านทรวงอกจึงเข้าสู่โหมดวิชาการทันที [อย่างที่บอกไปเมื่อเช้า การผ่าตัดเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรแทรกซ้อน]
“แล้วทำไมยังไม่ฟื้น” สุดเขตย้อนกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง ถามทั้งที่คนเป็นหมออย่างเขารู้เหตุผลและเข้าใจดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นหมอมามีกรณีคนไข้รู้สึกตัวช้าเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากพอเป็นเคสนี้ซึ่งเป็นลูกชายของตัวเอง เขากลับรู้สึกร้อนรน เอาแต่คิดว่าอาจจะเกิดข้อผิดพลาดในการรักษา
[ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนฟื้นตัวช้า บางคนฟื้นตัวเร็ว มึงก็น่าจะรู้ดี]
“รู้...” สูตินรีแพทย์ตอบแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก เข้าใจญาติผู้ป่วยคนอื่น ๆ อย่างถ่องแท้...การรอมันทรมานอย่างนี้สินะ
[แล้วผลตรวจ DNA นิติเวชออกยัง สรุปเด็กคนนั้นเป็นลูกมึงจริงไหม] น้ำปิงถามต่อด้วยความคาใจ เพราะเมื่อคืนนี้จู่ ๆ สุดเขตก็แจ้งความประสงค์ว่าต้องการตรวจ DNA ระหว่างตนกับเด็กที่เขากำลังทำการผ่าตัดรักษา อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยพลการ ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองของเด็ก แต่ด้วยความที่เป็นหมอ สุดเขตจึงใช้เส้นสายในทางที่มิชอบ และพร้อมจะรับผิดชอบหากมีปัญหาตามมา ศัลยแพทย์จึงยอมเก็บตัวอย่างเลือดให้เพื่อนส่งไปยังคนสนิทที่อยู่แผนกนิติเวช
“ออกแล้ว ลูกกู” คนที่มีลูกแบบไม่ทันตั้งตัวตอบ กัญญาวีร์ยอมสารภาพว่าเด็กชายปกป้องเป็นลูกของเขาตั้งแต่เมื่อเช้า หากผลตรวจ DNA ที่เพิ่งออกเมื่อช่วงบ่ายนั้นช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นคือเรื่องจริง “เด็กคนนั้น...ลูกกูจริง ๆ” สุดเขตย้ำอีกครั้ง ทว่าคล้ายต้องการจะย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า
ทุกอย่างถาโถมเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว แม้ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะผลการพิสูจน์ที่ปรากฏบนหน้าจอแล็ปท็อปนั้นระบุไว้อย่างชัดเจน ดัชนีความเป็นบิดาของเขากับเด็กคนนั้นสูงถึงเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์
เขามีลูกแล้วจริง ๆ