อีกหนึ่งชีวิต
“ปกป้อง…เขาเป็นลูกของหมอค่ะ”
ทว่า...ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ กลับมาจากร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าภายใต้สีหน้าและแววตานิ่งเรียบเช่นนี้ มีพายุอารมณ์กำลังก่อตัวอยู่ข้างใน และเขากำลังพยายามควบคุมมัน เพราะการพูดคุยกันด้วยอารมณ์อย่างไร้เหตุผลไม่ใช่นิสัยของเขา
เกือบหนึ่งนาทีที่ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบที่ชวนอึดอัดและกระอักกระอ่วน กัญญาวีร์แทบนั่งไม่ติดเมื่อเขาเอาแต่ยืนมองหน้าเธอนิ่ง ๆ ไม่ยอมพูดอะไรหลังจากที่เธอสารภาพออกไป หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ดีเพราะไม่เคยเห็นใครเงียบแล้วทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นลงจนหนาวเหน็บเช่นนี้
และความเงียบของอีกฝ่ายทำให้กัญญาวีร์เข้าใจว่าเขากำลังไม่พอใจที่เธอท้อง หรืออาจจะไม่พอใจที่เธอปล่อยให้ลูกเกิดมา ด้วยเมื่อห้าปีที่แล้ว เธอเคยเลียบเคียงถามเขาเกี่ยวกับการมีลูก ซึ่งเธอยังจำคำตอบเขาได้ขึ้นใจ ...และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจไม่บอกเขาในตอนที่รู้ตัวว่าท้อง
“หมอ หมอไม่ต้องห่วงนะ ปกป้องเป็นลูกของหมอก็จริง แต่ในเมื่อฉันยินยอมให้เขาเกิดมาแล้ว ฉันก็ยินดีที่จะรับผิดชอบเขาคนเดียว หมอไม่ต้องกังวล ลูกจะไม่เป็นภาระของหมอเด็ดขาด” หญิงสาวรีบละล่ำละลักบอก กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอจะใช้ลูกมาเป็นข้อต่อรองและเรียกรับผลประโยชน์ “ฉันสัญญาว่าเราสองแม่ลูกจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้หมออย่างแน่นอน หมอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไปเหมือนไม่เคยรู้มาก่อน ฉันขอโทษด้วยที่เมื่อคืนคำพูดของฉันอาจจะทำให้หมอเสียหาย”
คิ้วเข้มทั้งสองข้างของสุดเขตเลื่อนเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดออกมา เพราะเขายังไม่คิดถึงขั้นนั้น และไม่เข้าใจว่ากัญญาวีร์คิดไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ส่วนที่เขาเงียบก็เพราะว่าเขากำลังพยายามควบคุมอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ในอก พร้อมทั้งพยายามคิดทบทวนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอในครั้งนั้นมันผิดพลาดตรงไหน ทำไมเธอถึงได้ตัดสินใจไม่บอกเขาเรื่องลูก
แค่เพราะเขาบอกเธอว่ายังไม่พร้อมงั้นหรือ ?
จริง...ที่ความสัมพันธ์ครั้งนั้นมันไม่มีชื่อเรียก ไม่มีสถานะที่ชัดเจน ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีคำจำกัดความ และไม่มีคำนิยาม รู้เพียงแค่ว่าต่างฝ่ายต่างพอใจซึ่งกันและกันเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะต้องปิดบังเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมา ขอแค่หันหน้ามาคุยหรือมาปรึกษา แม้เราจะไม่ได้มีสถานะเป็นคนรักกัน แต่เราก็น่าจะพูดคุยกันได้มิใช่หรือ
สุดเขตสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ขุ่นมัว พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ แม้เรื่องที่เธอปิดบังมันจะใหญ่โตแค่ไหนก็ตาม ก่อนจะเค้นเสียงถามในสิ่งที่ตนข้องใจมากที่สุด
“นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะฟาง ทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่บอกผม”
“อะ...อะไรคะ” กัญญาวีร์ถามเสียงสั่น ทั้งที่เข้าใจคำถามของเขาเป็นอย่างดี หากแววตาแข็งกระด้างและมีริ้วความโกรธพาดผ่าน ทำให้เธอรู้สึกหวั่นกลัว
“ทำไมตอนนั้นถึงไม่บอกผมว่าคุณท้อง ทำไมคุณถึงต้องปิดบังผม”
“กะ...ก็ไม่รู้จะบอกทำไม” เธอตอบออกไปตามที่คิด ทว่าคำตอบนั้นคล้ายสุมไฟเข้าไปในอกของคนฟังมากขึ้นไปอีก
“ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นพ่อของเขา แต่คุณก็ไม่คิดที่จะบอกผมเลยงั้นเหรอ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” น้ำเสียงเขาดุดันขึ้นตามแรงอารมณ์ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดที่แขนปูดเด่นชัด “สิ่งที่คุณปกปิดไว้มันคือชีวิตของคนคนหนึ่งเลยนะ จิตใจคุณมันทำด้วยอะไรกัน!”
“ก็เพราะว่ามันเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งไง ฉันถึงไม่บอกหมอ เพราะถ้าบอกไปก็มีแต่จะแย่ ไม่เห็นจะมีผลดี ในเมื่อหมอก็ไม่ได้อยากมีลูกไม่ใช่เหรอ” กัญญาวีร์สวนกลับอย่างไม่ยอมถูกตำหนิอยู่ฝ่ายเดียว นัยน์ตาสีคาราเมลวาวโรจน์จ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ “หมอเป็นคนพูดเองว่าไม่พร้อมและไม่อยากมีลูก แล้วจะให้ฉันบอกหมอไปเพื่ออะไร ถึงบอกไปก็คงไม่ต่างกับไม่บอก”
ในเมื่อไม่วันไหนก็วันหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดระหว่างเขาและเธอก็ต้องจบลง เธอจึงคิดว่าบอกกับไม่บอกก็คงมีผลไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายเธอกับเขาก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี
“ต่างสิฟาง ทำไมมันจะไม่ต่าง” เขาเถียงออกไปทันควัน
“ถ้าจะต่างก็คงต่างกันตรงที่ว่า ถ้าหมอรู้ว่าฉันท้องตั้งแต่แรก หมอก็คงจะไม่ยอมให้ลูกเกิดมา เพราะรู้แบบนี้ไงฉันถึงไม่บอกหมอ” กัญญาวีร์โต้เถียงด้วยแรงอารมณ์ ดวงตาแข็งกร้าวด้วยความโกรธไม่ต่างกัน เขาไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าเธอ และที่พูดไปทั้งหมดเธอไม่ได้ใส่ร้ายเขา แต่ทุกอย่างที่พูดออกไปมีต้นเหตุมาจากเขาทั้งนั้น
“ผมพูดตอนไหนว่าจะไม่ให้เขาเกิดมา ผมเคยพูดเหรอฟาง” สุดเขตถามลอดไรฟัน ยิ่งฟังเหตุผลของเธอเขาก็ยิ่งโกรธ แม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับรู้ว่าตนกำลังจะมีลูกเขาก็ยังไม่มี แล้วเขาจะไปมีสิทธิ์ตัดสินว่าจะให้ลูกเกิดมาหรือไม่ได้อย่างไร
“เคยพูด! หมอพูด หมอเป็นคนพูดเอง” หญิงสาวเถียง ก่อนจะพูดตอกหน้าด้วยคำที่เขาเคยเป็นคนพูดออกมาเองอย่างเหลืออด “หมอเคยบอกฉันว่าไม่อยากมีลูกเพราะยังไม่พร้อม แต่ถ้าพลาดมีขึ้นมาจริง ๆ ก็จะให้ทำแท้ง!!”
ก่อนที่เธอจะแน่ใจว่าตัวเองท้อง เธอรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย หากก็ไม่แน่ใจและคิดว่าคงไม่ใช่ แต่กระนั้นในคืนวันหนึ่งเธอก็ได้เลียบเคียงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยความอยากรู้ ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมามันทำให้เธอรู้สึกผิดหวังในตัวเขามาก ๆ
‘หมอเคยคิดจะมีลูกไหม’
‘ไม่เคยและยังไม่คิดจะมีตอนนี้’
‘แล้ว...ถ้าเกิดวันหนึ่งเราพลาดกันขึ้นมาล่ะ หมอจะทำยังไง’ ครั้นเห็นว่าเขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอจึงรีบเอ่ยขึ้น ‘…แค่สมมุติเฉย ๆ นะ ตอนนี้ไม่มีอะไร’
ไม่มีอะไร…เพราะว่าเธอยังไม่ได้ตรวจให้แน่ใจ
‘ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แล้วก็อย่าพลาดเลย ผมยังไม่พร้อมจริง ๆ คุณก็เห็นว่าทุกวันนี้ผมแทบจะไม่มีเวลานอน หรือถ้าเกิดว่าพลาดขึ้นมาจริง ๆ ก็ต้องดูสถานการณ์ก่อน ยังไงผมก็คงต้องเลือกทางออกที่ดีที่สุด’
กัญญาวีร์นิ่งไปครู่หนึ่ง สมองพยายามตีความหมายคำว่าทางออกที่ดีที่สุดของเขา ‘...หมายถึงทำแท้ง ?’
‘ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นทางที่ดีที่สุด’
‘...’
‘คุณคงไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาวะที่ไม่พร้อมหรอกใช่ไหม’
นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้กัญญาวีร์รู้สึกผิดหวังมาจนถึงทุกวันนี้ หญิงสาวคิดว่าตัวเองทำถูกแล้วที่ไม่บอกเขา เพราะถ้าบอก เธอก็คงไม่ได้เห็นความน่ารักของเด็กชายปกป้อง ไม่ได้เห็นพัฒนาการของลูกที่ทำให้คนเป็นแม่อิ่มเอิบหัวใจ
เพราะเหตุผลนี้ทำให้เธอเลือกที่จะไม่บอก และตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องเมื่อห้าปีที่แล้ว
“แต่ผม...” กลายเป็นสุดเขตที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะโต้แย้งกลับไปด้วยคำใด เพราะที่เธอพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง แม้จะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง แต่ปัญหาชีวิตบวกกับปัญหาภายในครอบครัวที่รุมเร้าในช่วงเวลานั้น และยังมีเรื่องคาราคาซังที่ต้องจัดการมากมาย ทำให้เขาไม่พร้อมมีลูก และไม่คิดว่าจะสร้างครอบครัวกับใคร “แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องปิดบังผมไม่ใช่เหรอ”
เสียงของเขาอ่อนลงกว่าเดิม หากยังคงมีความตึงเครียดเจืออยู่มากทีเดียว
“แล้วจะให้ฉันบอก เพื่อให้หมอไล่ฉันไปทำแท้งงั้นเหรอ” เธอย้อนถามด้วยใจที่เจ็บปวด หยาดน้ำใสคลอรอบดวงตา เพียงแค่คิดว่าหากต้องทำแท้งในตอนนั้น ทุกวันนี้คงไม่มีเด็กชายปกป้องที่เปรียบเสมือนหัวใจอีกดวงของเธอ
“ผมไม่เคยบอกให้คุณไปทำแท้ง” สุดเขตยืนยันหนักแน่น เขาเคยพูดเรื่องนี้ก็จริง แต่เขาไม่เคยไล่ให้เธอไปทำแท้ง
“ใช่ หมอไม่ได้บอกให้ฉันทำแท้ง เพราะฉันไม่ได้บอกหมอว่าท้องไง ลองให้ฉันบอกสิ หมอก็คงจะไล่ให้ฉันไปทำแท้งจริง ๆ” ตอนนั้นเขาเคยบอกกับเธอว่าไม่พร้อมที่จะมีลูก แต่ถ้าเกิด ‘พลาด’ ขึ้นมา ก็คงต้องหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะถึงขั้นต้อง ‘ทำแท้ง’
แล้วจะให้เธอทำอย่างไร ในเมื่อเขามีความคิดที่สวนทางกันเช่นนั้น เธอก็ต้องหาทางออกของตัวเองเช่นกัน!
ซึ่งทางที่เธอเลือกก็คือการออกมาจากชีวิตเขา และไม่ให้เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกหนึ่งชีวิตน้อย ๆ ที่เขาไม่ต้องการ...
“แต่คุณก็ไม่น่าปิดบังผมแบบนี้ไง คุณน่าจะบอกผม ปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้…”
“แก้ด้วยการให้ฉันไปทำแท้งน่ะเหรอ” กัญญาวีร์สวนขึ้นก่อนที่เขาจะพูดจบ พร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หยดลงมาอาบแก้ม
“ฟาง…” สุดเขตไม่รู้จะพูดอย่างไร ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นแล้วใช้นิ้วกดระหว่างหัวตาอย่างใช้ความคิดพร้อมทั้งควบคุมสติ ยอมรับว่าตอนนี้สมองของเขามันตื้อไปหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดที่เธอพูดมามันคือเรื่องจริง เขาเคยพูดแบบนั้น ด้วยช่วงนั้นตัวเขามีงานที่ต้องทำหลายอย่าง อีกทั้งยังมีปัญหาภายในบริษัทของครอบครัว ทำให้เขาต้องคิดหาทางแก้ไขไม่เว้นแต่ละวัน เขาจึงไม่คิดจะมีลูกเพราะไม่รู้ว่าถ้ามีแล้วจะเลี้ยงเขาได้ดีหรือไม่ เมื่อไม่มีความพร้อม จึงคิดว่าไม่มีเสียดีกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้อยากให้เรื่องทั้งหมดมันกลายมาเป็นแบบนี้
ไม่เลยสักนิด...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นยุติการพูดคุยของหนุ่มสาวทั้งสอง กัญญาวีร์รีบซับน้ำตา สูดน้ำมูก แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หากก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของสหดลที่เปิดประตูเข้ามาเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันนานเกินไป และถึงเวลาที่จะไปเยี่ยมเด็กชายปกป้องแล้ว
“เป็นอะไรฟาง มันทำอะไรแก!” หนุ่มหน้าตี๋รีบก้าวเข้าไปหาเพื่อน หันไปมองหน้าสุดเขตอย่างพร้อมจะมีเรื่อง ก่อนจะหันมองสำรวจเนื้อตัวเพื่อนสาวว่ามีบาดแผลเพิ่มจากเดิมหรือไม่ ครั้นไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตาเพื่อขอคำตอบ
ใบหน้าสวยซึ่งมีรอยบอบช้ำส่ายไปมา ก่อนจะตอบ “ไม่ได้เป็นอะไร เขาไม่ได้ทำอะไร”
“แล้วแกร้องไห้ทำไม” สหดลถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร” กัญญาวีร์ปฏิเสธ เหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนฝาผนัง พอเห็นว่าถึงเวลาเยี่ยมลูก ก็เข้าใจเหตุผลที่สหดลเข้ามาทันที หญิงสาวหันหน้าไปพูดกับคุณหมอที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับหมอแล้ว กลับไปทำงานเถอะค่ะ และฉันหวังว่าเรื่องที่เราคุยกันมันจะจบ”
ไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย พูดจบกัญญาวีร์ก็ค่อย ๆ กระเถิบก้นลงจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำอย่างระมัดระวัง โดยมีสหดลคอยช่วยประคองระวังความปลอดภัย ท่ามกลางสายตาคู่คมที่จ้องมองการกระทำของทั้งสองคน
กระทั่งหญิงสาวถูกส่งเข้าห้องน้ำและดึงประตูปิด สุดเขตจึงตัดใจและหมุนตัวเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป พลางนึกถึงประโยคสุดท้ายที่เธอพูด
‘ฉันหวังว่าเรื่องที่เราคุยกันมันจะจบ’
แล้วมันจะจบได้อย่างไร ในเมื่อเด็กชายคนนั้นเป็นลูกของเขาทั้งคน
มันไม่จบหรอก!