อีกหนึ่งชีวิต
“อืม...เคยรู้จักน่ะ”
แม้จะได้รับคำตอบเช่นนั้น หากในใจของสหดลยังเต็มไปด้วยความสงสัย เริ่มไม่ไว้ใจหมอหน้าหล่อคนนี้ แต่ในเมื่อเพื่อนของตนยืนยันมาอย่างนั้น เขาก็เคารพพื้นที่ส่วนตัว ยอมถอยเพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
“ยังไม่กลับนะ จะรออยู่หน้าห้อง ถ้าเกิดอะไรขึ้นเรียกได้เลย” พูดจบเขาก็หันไปสบตาบุรุษอีกคนที่ยืนทำหน้านิ่งด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
“แฟนเหรอ” สุดเขตละสายตาจากบานประตูที่เพิ่งปิดลง แล้วหันมาถามผู้ป่วยซึ่งนั่งอยู่บนเตียงทันทีเมื่อภายในห้องเหลือกันอยู่แค่สองคน
“เพื่อนค่ะ” กัญญาวีร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหก
“แต่ดูเขาเป็นห่วงคุณมากเลยนะ” แพทย์หนุ่มไม่ได้พูดประชดหรือจับผิดแต่อย่างใด เขาแค่พูดออกไปตามที่เห็น
“ก็ปกติของคนเป็นเพื่อนกัน” หญิงสาวว่าอย่างไม่คิดอะไร เพราะกลุ่มเพื่อนของเธอก็มีความห่วงใยให้กันแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงแม้บางครั้งเธอจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษจากสหดลก็ตาม
สุดเขตไม่ได้ซักไซ้ต่อในเรื่องส่วนตัวของเธอ เขาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่หมอ ถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บก่อนเป็นอันดับแรก “แล้วคุณอาการเป็นยังไงบ้าง มีเจ็บหรือรู้สึกแปลก ๆ ตรงส่วนไหนหรือเปล่า”
“เจ็บแขนข้างที่หัก แล้วก็รู้สึกร้าวไปทั้งตัว” คนป่วยบอกอาการไปตามตรงเพราะเห็นว่าเขาเป็นหมอ หากในใจกลับรู้สึกหวั่นนิด ๆ เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาจะให้ความสนใจกับเรื่องที่เธอหลุดพูดเมื่อวานนี้มากน้อยแค่ไหน และถ้าเป็นไปได้ เธอภาวนาให้เขาไม่เก็บเอาไปใส่ใจ
แต่คงไม่เป็นดั่งที่คิด เพราะเขาบอกชัดเจนว่าต้องการคุยเรื่องส่วนตัว ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องลูก
“เดี๋ยวให้พยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดกับล้างแผลให้ แล้วสาย ๆ หน่อยจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปพบหมอกระดูกและเข้าเฝือก ไม่แน่ใจว่าตำรวจจะเข้ามาสอบปากคำก่อนหรือเปล่า แต่ระหว่างนี้จะขยับตัวก็ระวัง ๆ หน่อย พยายามอย่าเพิ่งให้แขนกระทบกระเทือนมาก และอย่าให้แผลโดนน้ำ”
ตอนนี้แขนของเธอถูกดามด้วยไม้กับผ้าก๊อซไว้เบื้องต้นเท่านั้น หากเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่ระวัง กระดูกอาจจะผิดรูปไปมากกว่าเดิมก็เป็นได้
“ค่ะ” กัญญาวีร์รับคำ ทว่าหลบสายตา มือข้างขวาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเผลอขยุ้มกางเกง พร้อมกับใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะถามเกี่ยวกับเรื่องลูก
“โชคดีที่อวัยวะภายในอย่างอื่นไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไงก็นอนดูอาการที่โรง’ บาลอีกสักวันสองวันแล้วกันนะ”
“ออกวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” หญิงสาวรีบแย้งหลังจากที่ได้ยินว่าหมอจะให้นอนดูอาการต่อ ซึ่งนั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มมากขึ้น ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่ารักษาพยาบาลแพงหูฉี่ ถึงจะมีประกันอุบัติเหตุ แต่การคุ้มครองก็ไม่ได้มากมาย หรือต่อให้เบิกจาก พ.ร.บ. รถได้ ก็คงไม่พอจ่ายค่ารักษาของเธอกับลูก
เธอยังไม่กล้าคาดหวังว่าจะได้รับการชดเชยจากคู่กรณี ด้วยยังไม่ได้พูดคุยและเจรจากันในเรื่องนี้ อีกทั้งคู่กรณีเป็นใครเธอยังไม่รู้เลย
สุดเขตมองหน้าผู้ป่วยสาวอย่างประเมิน เห็นแววตาที่เป็นกังวลก็พอจะเข้าใจ “มีปัญหาเรื่องเงิน ?”
“ไม่เชิงค่ะ แค่ไม่อยากสิ้นเปลือง” อันที่จริงเธอก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง ไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่ามีปัญหา เพียงแต่เธออยากเก็บไว้ให้ลูกและใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็นจริง ๆ อีกอย่างแขนเธอหัก ยังไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ ไหนจะต้องดูแลลูกอีก ค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่ประหยัดได้ เธอก็อยากจะประหยัดให้ได้มากที่สุด
“รักษาตัวเองนี่คือการสิ้นเปลือง ?” แพทย์หนุ่มย้อนถามอีกครั้ง
“ก็ถ้าเป็นโรง’ บาลรัฐก็จะถูกกว่านี้ไงคะ” กัญญาวีร์นอนคิดเรื่องนี้ทั้งคืน หากปกป้องอาการดีขึ้นเมื่อไร เธอจะขอให้เจ้าหน้าที่ทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอปากช่องแทน
คนเป็นหมอพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก เพราะมันจริงอย่างที่เธอพูด หากเลือกได้เธอคงจะเลือกเข้าโรงพยาบาลรัฐ ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุเช่นนี้
แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนั้นไม่มีใครเลือกได้หรอก ที่ไหนสะดวกและรวดเร็วกว่า เจ้าหน้าที่ก็จะเลือกให้ตามความเหมาะสม ซึ่งเขาคิดว่าเมื่อคืนนี้โรง’ บาลรัฐที่อยู่บริเวณนี้ก็คงจะมีคนไข้หนาแน่น เธอกับลูกจึงถูกส่งตัวมาที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้
“แล้วที่คุณพูดเมื่อคืน เรื่องจริงหรือเปล่า” สุดเขตถามเข้าประเด็นด้วยเสียงนิ่งเรียบ ตาคมปลาบจดจ้องคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง “เด็กคนนั้น...ลูกของผมจริง ๆ หรือ”
กัญญาวีร์เผลอเกร็งตัวขึ้นมาอัตโนมัติหลังจากได้ยินคำถาม หลุบตามองพื้นอย่างไม่อาจสานสบกับนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องมองมาอย่างค้นหา เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องรู้สึกหวั่นกลัวต่อสายตาคู่นั้น ทั้งที่แน่ใจว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด เธอช่วยเขาแก้ปัญหาด้วยซ้ำ
“เมื่อวาน...ฉะ...ฉันไม่ค่อยมีสติและฟูมฟายมากไปหน่อย เลยอาจจะเผลอพูดอะไรบ้า ๆ ออกไป มะ...หมออย่าถือสาเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามเฉไฉเสียงสั่น น้ำเสียงไม่มั่นคงเหมือนอย่างเคย สายตาหลุกหลิก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตา ด้วยกลัวว่าเขาจะจับพิรุธได้
“พูดออกมาโดยไม่มีสติ แล้วไม่ให้ผมถือสางั้นหรือ ?”
ยาก...ที่จะทำให้สุดเขตเชื่อคำที่เธอกำลังบอกหรือพยายามแก้ตัวอยู่ตอนนี้ เขาจะไม่สงสัยอะไรเลยถ้าเมื่อคืนเธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายและอ้อนวอนขอให้ช่วยเหลือลูกชายราวกับจะขาดใจ อีกทั้งยังพูดคำว่า ‘ลูกของเรา’ ออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
และเขาอาจจะไม่ติดใจมากขนาดนี้ หากวันเดือนปีเกิดของเด็กชายนั้นไม่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาที่เขากับเธอมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไปนอนกับใครมั่ว ๆ
“มันง่ายไปไหมฟาง” สุดเขตเอ่ยชื่อคนที่เกือบจะหลุดจากวงจรชีวิตของเขาไปแล้ว เขาไม่ได้โมโหหรือหงุดหงิด เพียงแต่เขาแค่ไม่เข้าใจ เธอเป็นคนมาทิ้งระเบิดไว้เอง แล้วมาบอกง่าย ๆ ว่าไม่ให้เขาถือสา มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเธอจุดประเด็นนี้ขึ้นมาแล้ว เขาคงปล่อยผ่านไปไม่ได้ง่าย ๆ หากไม่มีการพิสูจน์หาความจริง
“หมอเขต ฉันพูดจริง ๆ นะ เมื่อคืนนี้ฉันกลัว ฉันเป็นห่วงลูกมาก ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงก็เลยพูดออกไปแบบนั้น”
“สำหรับผมเหตุผลนี้มันฟังไม่ขึ้นเลยฟาง แล้วผมคงจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้” เพราะมันคงจะติดอยู่ในใจเขาไปตลอด ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย
“หมอหมายความว่าไง” กัญญาวีร์เงยหน้าขึ้นไปสบตา รู้สึกหวั่นกลัวเมื่อรู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
สุดเขตประสานสายตากับหญิงสาวตรงหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมจะตรวจ DNA”
หัวใจคนฟังร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตระหนก แต่ก็ต้องรีบซุกซ่อนความกลัวจากสายตาคมปลาบที่จ้องมาคล้ายต้องการจะค้นหาความจริง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่ามีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องปิดบังผม แต่ในเมื่อคุณเป็นคนพูดออกมาเองว่าเขาคือลูกของผม ผมก็มีสิทธิ์ที่จะค้นหาความจริง หวังว่าคุณจะไม่ติดอะไรถ้าเขาไม่ใช่ลูกผมจริง ๆ” สุดเขตเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังและแน่วแน่ บ่งบอกได้ว่าเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดแน่นอน
มาถึงจุดนี้กัญญาวีร์ค่อนข้างแน่ใจแล้ว ว่าคงไม่อาจปิดบังเขาได้อีกต่อไป เธอพลาดเอง แม้จะเคยรู้จักกันเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งปี แต่เธอก็รู้ว่าสุดเขตฉลาดเป็นกรด และเธอเองก็ใช่ว่าจะโกหกเก่ง คงไม่มีประโยชน์อะไรหากดึงดันที่จะโกหกต่อไป
กัญญาวีร์เม้มปากขบคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นว่าไม่ว่าเธอจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็คงไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปสารภาพความจริงกับเขา
“ปกป้อง...” พูดได้แค่นั้นแล้วก็เม้มปากอีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ มีความกลัวซ่อนอยู่ในส่วนลึก ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังกลัวอะไร ...หรืออาจจะกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่เร็วไม่ช้า เขาก็ต้องรู้จากผลตรวจอยู่ดี กัญญาวีร์จึงตัดสินใจกลั้นใจพูดออกไปในที่สุด “…เขาเป็นลูกของหมอค่ะ”