ชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
หลังจากได้เครื่องดื่มทั้งสองแก้วมาแล้ว กัญญาวีร์ขับรถตรงกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองราวสามกิโลเมตรเลยทันที บ้านที่เธออาศัยอยู่ตอนนี้เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในหมู่บ้านจัดสรรโครงการเล็ก ๆ แรกเริ่มเดิมทีบ้านหลังนี้เป็นบ้านของรุ่นพี่ที่รู้จักตอนเรียนมัธยม และปล่อยเช่าให้เธอในราคาคนกันเอง ต่อมาประมาณสองปีรุ่นพี่คนนี้มีเหตุให้ต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงเสนอขายบ้านหลังนี้ให้
ตอนนั้นกัญญาวีร์คิดหนักมาก เพราะเพิ่งคลอดลูกชายได้ปีกว่า ๆ เงินเก็บก็แทบไม่มีเลย อีกทั้งเธอเพิ่งลงทุนทำโฮมเบเกอรีไปและเพิ่งเปิดรับออร์เดอร์ได้เพียงเดือนเดียว เงินที่ได้จากการขายก็ต้องหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบก่อน ยังไม่มีความมั่นคงทางการเงิน จึงไม่แน่ใจว่าจะยื่นกู้เพื่อซื้อบ้านผ่านหรือไม่ หรือถ้าผ่านแล้วจะมีปัญญาผ่อนไหวหรือเปล่า
แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจลองเสี่ยงยื่นคำร้องดู ผลปรากฏว่าเธอผ่านเกณฑ์แบบงง ๆ อาจเป็นเพราะมีรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งสนิทกับพนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคารคอยช่วยดำเนินการให้ด้วย การกู้เงินเลยง่ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ กัญญาวีร์ก็ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า เพราะค่าผ่อนบ้านสูงกว่าตอนที่เช่าเกือบเท่าตัว บวกกับเธออยากรีบผ่อนให้หมดเร็ว ๆ จึงโปะเพิ่มไปอีกเล็กน้อยในแต่ละเดือน นอกจากนั้นยังต้องแบ่งเก็บไว้เผื่อลูกในอนาคตอีกด้วย
ชีวิตของการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
กัญญาวีร์โคตรจะนับถือซิงเกิลมัมอีกหลาย ๆ คนที่ทำงานหาเลี้ยงตัวเองและสามารถซัปพอร์ตความฝันของลูกได้ ซึ่งเธอก็หวังว่าตนเองจะทำได้อย่างนั้น ตราบใดที่เธอยังมีลมหายใจ เธอก็จะกัดฟันสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อให้ลูกของเธอได้มีชีวิตตามที่เขาต้องการ ไม่ต้องมาทนใช้ชีวิตแบบมีข้อจำกัดมากมายเหมือนอย่างเธอ
...เสียงแตรรถตู้ที่คุ้นหูดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้คุณแม่ยังสาวในวัยสามสิบปีวางมือจากการทำความสะอาดเตาอบขนม แล้วรีบเดินออกไปเปิดประตูรั้วบ้าน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นหนุ่มน้อยในชุดนักเรียนกางเกงสีแดงรูปร่างจ้ำม่ำลงมาจากรถตู้รับส่งของทางโรงเรียน
“แม่!!” เด็กชายปกป้องเรียกมารดาเสียงดังด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้าไปหา
“สวัสดีคุณครูด้วยสิครับลูก” คนเป็นแม่เอ่ยบอกเมื่อลูกวิ่งมาถึง ซึ่งเด็กน้อยก็หันกลับไปกระพุ่มมือไหว้คุณครูที่นั่งอยู่บนรถตามที่แม่บอกทันที กัญญาวีร์เองก็ไหว้เช่นกันพร้อมกับค้อมศีรษะขอบคุณที่อีกฝ่ายดูแลลูกชายให้
ครูหนุ่มรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม “เจอกันวันอังคารนะครับหมูป้อง” ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายหนุ่มน้อยแล้วปิดประตู ไม่นานรถตู้คันสีขาวก็เคลื่อนตัวออกไปส่งนักเรียนคนอื่น ๆ ต่อ
“เป็นไงบ้างครับ วันนี้ที่โรงเรียนสนุกไหม” กัญญาวีร์เอ่ยถามเจ้าตัวเล็กระหว่างเดินเข้าไปในบ้าน เธอมักจะถามอย่างนี้ทุกวันที่ไปโรงเรียน ด้วยอยากรู้ความรู้สึกและพัฒนาการของลูก
“สนุกมากกก” เด็กชายปกป้องตอบแม่ขณะก้มลงไปดึงสายรัดรองเท้าเพื่อจะถอดออก “วันนี้หนูเล่นกับเมลบี แล้วก็แซมตั้นด้วย”
“เหรอคะ แล้วเล่นอะไรกัน” คนเป็นแม่ถามต่อด้วยความกระตือรือร้นที่อยากจะรู้ สายตามองลูกชายหยิบรองเท้าที่ถอดแล้วไปวางบนชั้นด้วยความภูมิใจ แม้เธอจะไม่ใช่แม่ที่เจ้าระเบียบและเรียบร้อยนัก แต่เธอก็พยายามสอนลูกให้มีระเบียบวินัยอยู่เสมอ และอดภูมิใจไม่ได้เมื่อลูกทำตามสิ่งที่เธอคอยพร่ำสอนจนเริ่มจะกลายเป็นนิสัย
“เล่นวิ่งไล่จับฮะ หนูจับได้หมดทุกคนเลย เมลบีวิ่งช้ามาก หนูวิ่งแป๊บเดียวก็แปะได้แล้ว อ้อ แล้ววันนี้คุณพ่อครูก็ให้ต่อจิกซอว์ด้วย ต่อเป็นตัวยีราฟกับม้าลาย ตัวใหญ่มากกก...”
ใบหน้าสวยของผู้เป็นแม่ระบายยิ้มเอ็นดู ก่อนจะอดใจไม่ไหวต้องย่อตัวลงไปฟัดแก้มซาลาเปาของลูกชายด้วยรู้สึกมันเขี้ยวในความช่างพูด กลิ่นแป้งเด็กที่ทาจากโรงเรียนส่งกลิ่นหอมให้แม่ชื่นใจ
จากนั้นสองแม่ลูกก็ต่อบทสนทนากันไปเรื่อย ๆ คนเป็นลูกก็ตั้งใจเล่า ส่วนคนเป็นแม่ก็เป็นผู้ฟังที่ดี คอยถามและคอยตื่นเต้นไปกับการเล่าเรื่องราวของแกอยู่ตลอด กระทั่งหนุ่มน้อยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าแม่บอกว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุก
“แม่ แล้วแม่จะพาหนูไปเที่ยวสวนสนุกตอนไหนอ่า” เด็กน้อยทวงถามเสียงอ้อน ๆ
กัญญาวีร์หอมแก้มนุ่ม ๆ ของลูกชายอีกครั้ง ก่อนจะตอบ “ไปสวนสนุกวันอาทิตย์ครับ อีกสองวัน”
เธอชูสองนิ้วให้ลูกดูเป็นภาพประกอบ
“ทำไมอีกสองวันอะ ไปพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ครับ พรุ่งนี้เราต้องไปงานแต่งงานน้าฝันเพื่อนแม่ไงครับ”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอฮะ หนูอยากไปสวนสนุกพรุ่งนี้” เด็กชายออดอ้อน ด้วยตอนนี้จิตใจได้จดจ่ออยู่ที่สวนสนุกเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ไปไม่ได้ครับ ก็เดี๋ยวเราไปงานแต่งงานอาฝันก่อน แล้ววันต่อไปเราค่อยไปสวนสนุกไงครับ แม่จะพาไปแต่เช้าเลยดีไหม” คนเป็นแม่พยายามเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น
หนุ่มน้อยยู่ปากขัดใจเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากสุดท้ายก็พยักหน้ายอมแต่โดยดี แต่ก็มิวายต่อรอง “ก็ได้ฮะ หนูอยากกินไอศกรีมด้วย แม่ซื้อไอศกรีมให้หนูด้วยน้า”
“ได้ครับ วันอาทิตย์แม่จะตามใจป้องทุกอย่างเลย” คุณแม่ยังสาวเอ่ยเอาใจ เพราะนาน ๆ ถึงจะมีเวลาว่างพาลูกออกไปเที่ยว ตามใจแกสักวันก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง “แต่ว่าตอนนี้แม่ว่าเราไปอาบน้ำกันดีกว่า อีกหนึ่งชั่วโมงเราต้องไปกรุงเทพฯ กันแล้ว เดี๋ยวมันจะมืดตึ๊ดตื๋อก่อน”
“กรุงเทพฯ คือที่ไหนฮะแม่” ปกป้องเอียงคอถามระหว่างยืนให้แม่ถอดชุดนักเรียนให้ “มันไกลมากเลยเหรอ ทำไมมันต้องมืดตึ๊ดตื๋อ”
“มันไกลนิดหนึ่งครับ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย”
“แล้วทำไมเราต้องไปกรุงเทพฯ ด้วย” เด็กน้อยมุ่นคิ้วไม่เข้าใจ
“ก็เพราะอาฝันจัดงานแต่งที่นั่นไงครับ แล้วสวนสนุกที่ป้องอยากไปก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย”
“จริงเหรอ” ดวงตากลม ๆ เบิกกว้างขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น
“จริงครับ” กัญญาวีร์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อนึกอีกเรื่องที่สำคัญขึ้นมาได้ “ลืมเลย ป้องมีการบ้านหรือเปล่าลูก”
“มีครับ”
“งั้นอาบน้ำแล้วมาทำการบ้านให้เสร็จก่อนนะครับ” ถ้าเป็นวันหยุดปกติและไม่ได้เดินทางไปไหน หญิงสาวจะอนุญาตให้ลูกทำการบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ได้ แต่ในกรณีนี้ต้องเดินทางไกล ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมงหรืออาจจะถึงค่ำ อีกทั้งยังกลัวลูกจะเหน็ดเหนื่อยจากการเที่ยว ดังนั้นเธอจึงอยากให้ลูกทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่วันนี้เสียเลย เพื่อที่แกจะได้เที่ยวเล่นอย่างเต็มที่
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกชายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กัญญาวีร์ก็หยิบสมุดการบ้านของเด็กอนุบาลหนึ่งออกมากาง ครั้นเห็นว่าไม่ได้ยากอะไรมาก หญิงสาวจึงสอนแบบคร่าว ๆ ก่อนที่เธอจะแยกตัวออกไปจัดการเก็บของ ปล่อยให้ลูกได้ฝึกคิดเองทำเอง ระหว่างนั้นก็คอยแวะเวียนมาตรวจเช็กความถูกต้องเรื่อย ๆ ใช้เวลาไม่นานเด็กชายปกป้องก็ทำเสร็จ
“เก่งมากครับ ถูกหมดทุกข้อเลย” คนเป็นแม่ชมเปาะ แล้วหอมแก้มซาลาเปาแรง ๆ ให้ชื่นใจ
พอทำการบ้านเสร็จปกป้องก็นั่งกระดิกเท้าดูการ์ตูนรอแม่เก็บของและอาบน้ำ ปากจิ้มลิ้มดูดน้ำโกโก้ของโปรดจากร้านป้าไก่อย่างเอร็ดอร่อย ราวสามสิบนาทีต่อมาสองแม่ลูกก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถ หญิงสาวเช็กความเรียบร้อยของคาร์ซีตจนมั่นใจ จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของประเทศทันที
ใช้เวลาขับรถประมาณสองชั่วโมงเศษ รถยนต์อีโคคาร์มือสองขนาดสี่ที่นั่งของกัญญาวีร์ก็เข้าสู่เขตกรุงเทพมหานคร ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม หญิงสาวกลัวว่ารถจะติด จึงเลือกใช้ทางด่วนเพื่อความรวดเร็วในการเข้าสู่ใจกลางเมือง
เสียงสมาร์ตโฟนที่วางอยู่ในช่องว่างข้างเกียร์ดังขึ้น มือบางหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อของสหดลซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน
“ฮัลโหลว่าไงตง”
[ฟางถึงไหนแล้ว]
“ขึ้นทางด่วนมาแล้ว ตอนนี้อยู่แถว ๆ ดอนเมือง” กัญญาวีร์บอกพิกัดของตัวเองไป ก่อนจะเหลือบไปมองลูกชายซึ่งหลับปุ๋ยไปตั้งแต่สามสิบนาทีแรกที่ออกเดินทาง
[อ๋อ งั้นก็แปลว่าใกล้จะถึงแล้ว]
“ใช่ ๆ ข้างบนรถไม่ค่อยติดเท่าไร อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงถ้าข้างล่างรถไม่ติดก็น่าจะถึงโรงแรม” หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาหน้ารถ ครั้นเห็นว่าถึงเวลาที่เพื่อน ๆ นัดกันแล้วจึงถามต่อ “แล้วแกเจอเพื่อนคนอื่น ๆ หรือยัง”
[ยังเลย เพิ่งออกบ้านมาเอง รถติดมาก น่าจะถึงพร้อม ๆ กับแกแหละ]
“แกโดนพวกนั้นด่าแน่ ๆ บ้านอยู่ใกล้แค่นี้ยังไปสาย” หญิงสาวกระเซ้าขำ ๆ แต่ก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเพื่อนของเธอแต่ละคนนั้นค่อนข้างปากแซ่บ ด่าและจิกกัดกันเพื่อความบันเทิงจนเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าสหดลคือคนที่โดนด่าบ่อยที่สุด
[ทำไงได้ ก็ทำงานเพิ่งเสร็จนี่หว่า รีบสุด ๆ ได้เท่านี้แหละ]
“อ้าง” กัญญาวีร์ว่าอย่างรู้ทัน เพราะเป็นเพื่อนกันมาหลายปีทำให้เธอรู้จักนิสัยของสหดลดี เขาเป็นผู้ชายเจ้าสำอางและมีความประณีตในการแต่งตัว เรียกได้ว่าต้องเป๊ะตั้งแต่หัวจดเท้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาชอบมาเป็นคนท้าย ๆ ในยามที่เพื่อนนัดเจอกัน
[เปล่า ไม่ได้อ้าง วันนี้ติดงานจริง ๆ งานเสร็จก็รีบกลับบ้าน อาบน้ำแล้วก็รีบออกมาเนี่ย] ปลายสายบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอเค ฉันเชื่อแกก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเชื่อหรือเปล่านะ” หญิงสาวเอ่ยขำ ๆ เพื่อนแต่ละคนใช่ย่อยกันเสียที่ไหนล่ะ บางคนเพียงแค่เห็นหน้าก็ด่าก่อนจะถามถึงเหตุผลด้วยซ้ำ
[เตรียมใจไว้ละ แกก็อย่าผสมโรงกับพวกนั้นล่ะ]
กัญญาวีร์หลุดหัวเราะเบา ๆ เพราะสกิลปากของเธอก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ เลย เรียกได้ว่าศีลเสมอกันทั้งกลุ่ม ไม่งั้นคงไม่คบกันมานานถึงขนาดนี้
“ไม่รับปาก”
[ถ้าแกด่าฉัน ฉันจะยุเพื่อนให้มอมเหล้าแก] สหดลขู่ ซึ่งเป็นการขู่ที่น่ากลัวมากสำหรับกัญญาวีร์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะชิล ๆ กับการขู่แบบนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเธอมีลูกน้อยที่ต้องดูแล ฉะนั้นการควบคุมลิมิตแอลกอฮอล์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ
“เลวมาก งั้นเอางี้ฉันสัญญาว่าจะไม่ด่าแกก็ได้ แต่แกต้องช่วยฉันเวลาที่เพื่อนบังคับให้หมดแก้ว โอเคไหม”
[ดูก่อน] อีกฝ่ายดึงเชิง ไม่ยอมรับปากง่าย ๆ
“ป้องมาด้วยไง ถ้าฉันเมาใครจะดูแล ป้องดูแลฉันไม่ได้หรอกนะ” หญิงสาวยกลูกขึ้นมาอ้าง หันไปมองแกแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับมาสนใจถนนตรงหน้าต่อเมื่อเห็นว่าแกยังหลับอย่างสบายใจเฉิบ
[เดี๋ยวฉันดูแลให้เอง] สหดลรีบอาสาอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็โดนกัญญาวีร์สวนกลับทันที
“แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
ในค่ำคืนสังสรรค์ที่มีเครื่องดื่มมึนเมาเป็นจุดศูนย์กลางเช่นนี้ กัญญาวีร์ไม่ไว้ใจให้ใครดูแลแทนเด็ดขาด และจะไม่หวังพึ่งพาใครทั้งนั้น แม้คนคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม เพราะเธอรู้ดีว่าอย่างไรคืนนี้พวกมันต้องเมา แต่โชคดีที่ร้านอาหารที่เราจะไปปาร์ตีกันสามารถพาเด็กไปได้และอยู่ติดกับโรงแรมที่พัก ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอคลายกังวลไปได้มากเลยทีเดียว
[เอาน่า ก็ช่วย ๆ กันดู สบาย ๆ ไม่ต้องซีเรียส] ปลายสายบอกอย่างง่าย ๆ อีกครั้ง [แล้วนี่ลูกหลับเหรอ ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย] ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เขาเคยเจอเด็กชายปกป้องสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่แกยังพูดไม่ได้ ทว่าที่เจอครั้งล่าสุดเมื่อประมาณหกเดือนก่อน เห็นได้ชัดว่าแกเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างคุย ตอนนี้เขาจึงแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยินเสียงของหนุ่มน้อยเลย
“อือ หลับตั้งแต่ออกจากบ้านโน่น แต่ก็ดีแล้วละ คืนนี้จะได้ไม่งอแง” แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะงอแงตอนตื่นแทนหรือเปล่า เพราะนอนผิดเวลา คงต้องลุ้นกันอีกที
[อ๋อ ๆ งั้นแกขับไปเถอะ ไว้เจอกันที่ร้าน]
“โอเค แล้วเจอกัน”
หลังวางสายจากเพื่อนกัญญาวีร์ก็เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม หันไปมองลูกชายแล้วยื่นมือออกไปลูบศีรษะแกเบา ๆ จากนั้นก็หันกลับมาตั้งใจมองถนนต่อ แต่ในขณะที่เธอกำลังขับรถบนทางด่วนด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด กลับมีรถอีกคันที่อยู่ข้างหลังพุ่งทะยานขึ้นมาด้วยความเร็วแสง
ดวงตากลมโตเหล่มองกระจกหลัง เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มและความเร็วของรถคันนั้นทำให้หญิงสาวเกิดความหวั่นกลัว จึงตั้งใจจะเปลี่ยนเลนเพื่อให้คันที่อยู่ข้างหลังซึ่งดูเร่งรีบได้แซงขึ้นไปก่อน
ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้หมุนพวงมาลัยหลบให้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเสียก่อน...
“กรี๊ด!”
ปึ้ง! โครม!!!