บทที่ 2
ช่วยลูกของเราด้วย
ณ เวลายี่สิบนาฬิกาสามสิบนาที มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางด่วนเขตดอนเมือง เสียงไซเรนดังสนั่นทั่วท้องถนนทั้งข้างบนและข้างล่าง รถแอมบูแลนซ์กับรถของมูลนิธิอาสากู้ภัยวิ่งสลับกันไปมาเพื่อลำเลียงผู้บาดเจ็บที่มีมากกว่าห้ารายส่งโรงพยาบาล เนื่องจากประสานงากันหลายคัน ส่วนที่เกิดเหตุปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป
กัญญาวีร์ลืมตาโพล่งขึ้นมาหลังจากสลบไปราวสามสิบนาที ร่างบางดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็วอย่างลืมตัว ก่อนจะร้องโอ๊ยเสียงดังด้วยความเจ็บร้าวบริเวณแขนด้านซ้ายที่ถูกดามเบื้องต้นเอาไว้ หญิงสาวกลั้นน้ำตา กัดฟันข่มความเจ็บปวดที่เหมือนร่างจะฉีกขาดเอาไว้ แล้วกวาดสายตามองหาคนที่เธอเป็นห่วงที่สุดในยามนี้
“ลูก...ลูกชายฉันล่ะคะ” เธอถามเจ้าหน้าที่ด้วยความร้อนรนเมื่อมองจนทั่วห้องโดยสารของรถพยาบาลแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กชายปกป้อง
“น้องอยู่บนรถอีกคันค่ะ มีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ตอนนี้คุณแม่นอนลงก่อนนะคะ” พยาบาลฉุกเฉินในชุดสีน้ำเงินบอกพร้อมช่วยพยุงให้ผู้ป่วยนอนลงตามเดิม เพราะจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าแขนข้างซ้ายของผู้ป่วยน่าจะหัก จึงเกรงว่าหากขยับตัวมากเกินไปแขนอาจจะผิดรูป อาการอาจจะแย่กว่าเดิม
“ลูกชายดิฉันเป็นอะไรมากไหมคะ แกปลอดภัยใช่ไหม” แม้จะยอมนอนนิ่งตามที่พยาบาลบอก ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลและกระวนกระวาย เพราะเป็นห่วงคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มีอาการร้ายดีอย่างไร ภาพลูกชายที่เธอเห็นเพียงราง ๆ ก่อนสติจะวูบดับไปก็ไม่ค่อยดีนัก และไม่อาจจินตนาการต่อได้ กัญญาวีร์มองหน้าพยาบาลสาวด้วยความคาดหวังในคำตอบ หากความเงียบชั่วเพียงอึดใจจากอีกฝ่ายนั้นทำให้เธอใจแป้ว เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง “ลูกชายฉันไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“...คือดิฉันยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะอาการน้องค่อนข้างสาหัสและหมดสติก่อนที่เราจะไปถึงที่เกิดเหตุ แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ทางทีมแพทย์ของเราจะพยายามช่วยกันอย่างสุดความสามารถ ตอนนี้คือต้องส่งตัวน้องให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด”
หัวใจของคนเป็นแม่แทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘สาหัส’ ใบหน้าสวยซีดเผือด ทั้งมือและเท้าเย็นไปหมดด้วยความกลัว สมองคาดเดาไปต่าง ๆ นานา พร้อมกับน้ำตาที่ค่อย ๆ รินไหลออกมาเป็นสาย จนเจ้าหน้าที่พยาบาลคนเดิมต้องเอ่ยปลอบใจ
“คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ น้องต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”
“ละ...ลูกชายฉันจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม” เสียงของหญิงสาวทั้งแผ่วและสั่น แม้จะฟังดูเหมือนยังพอมีความหวัง ทว่าใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความกลัว กัญญาวีร์นอนนิ่ง ๆ ไปเพียงครู่เดียว คำว่าสาหัสที่วนเวียนอยู่ในหัวก็ทำให้เธอสติแตก ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก
เธอปล่อยโฮเสียงดัง หัวใจแทบแตกสลายเมื่อจินตนาการถึงภาพลูกชายที่อยู่ในอาการบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง จะถึงมือหมอหรือจะรู้สึกตัวแล้วหรือยัง หากรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วไม่เห็นแม่แกจะร้องไห้หรือไม่
บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเกิดความโกลาหลขึ้น เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและจะส่งตัวผู้ป่วยเข้ามารักษาตัวที่นี่ ขอให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินสแตนด์บายรอผู้ป่วยที่กำลังจะมาถึง
ทว่าในสถานการณ์จริงก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป บวกกับคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ ซึ่งมักจะมีอุบัติเหตุมากกว่าวันปกติ มีทั้งผู้ป่วยที่เดินทางมาเองและถูกส่งตัวเข้ามาโดยรถฉุกเฉิน ทำให้เกิดความล่าช้าในการรักษาเพราะมีจำนวนบุคลากรอย่างจำกัด
“เมื่อช่วงเย็นผมไม่น่าอยากกิน KFC เลยว่ะ งานเข้าไม่หยุดเลย” บุรุษพยาบาลที่อยู่เวรห้องฉุกเฉินคืนนี้บ่นอุบกับเพื่อนร่วมงาน ด้วยเมื่อเย็นเขานึกอยากกินไก่ทอด จึงสั่งมารับประทานและชวนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ กินด้วย โดยไม่สนใจอาถรรพณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาเป็นคนไม่อินกับความเชื่อประเภทนี้สักเท่าไร
ทว่าตอนนี้เขาชักอยากทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ ที่กล้าท้าทายความเชื่อนั้น เพราะตั้งแต่หกโมงเย็นจนตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาเกือบสามทุ่ม เขาต้องวิ่งวุ่นทำงานตลอด ไม่มีเวลานั่งพักเลยแม้แต่นาทีเดียว
“หลังจากวันนี้คงเข็ดกับไก่ทอดไปอีกนาน” ผู้ช่วยพยาบาลเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะช่วยกันพันแผลให้ผู้ป่วยคนหนึ่ง
“จริง จากนี้ผมคงจะเลิกกินไปเลย” ว่าจบบุรุษพยาบาลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในหัวคิดว่าเสร็จจากคนไข้รายนี้เขาคงได้พัก ทว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากที่เขาพูดจบ ผ้าม่านกั้นเตียงก็ถูกเปิดออกโดยพยาบาลสาว ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงรีบ ๆ
“ทำแผลเสร็จยัง”
“ใกล้เสร็จแล้ว เหลือปิดแผลที่ขาอีกที่”
“ดี ถ้าเสร็จแล้วไปช่วยหมอปิงที่เตียงหนึ่งนะ” ว่าจบเธอก็สบตาเพื่อนร่วมงาน จากนั้นก็ย้ำอีกครั้งอย่างจริงจัง “ด่วน”
ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ หล่อนก็รีบหมุนตัวเดินไปจัดการหน้าที่ของตัวเองต่อทันที
พยาบาลหนุ่มพรูลมหายใจ ตั้งสติ แล้วรีบจัดการหน้าที่ตรงนี้ให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อจะได้ไปช่วยหมอรักษาคนไข้รายอื่น ๆ ต่อ จากที่ได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วเข้ามาไม่ขาดสาย เขาก็เตรียมใจไว้เลยว่า...ค่ำคืนนี้อีกยาวไกล
“ลูก...ลูกชายของดิฉันอยู่ไหนคะ ฉันจะไปหาลูกค่ะ”
ผู้ป่วยสาวพยายามจะลุกออกจากเตียงหลังจากถูกเข็นเข้ามาในห้องฉุกเฉิน สิ่งแรกที่กัญญาวีร์นึกถึงเมื่อมาถึงโรงพยาบาลคือเด็กชายปกป้อง ตอนนี้เธอไม่สนความเจ็บของตัวเองเพราะเป็นห่วงลูกสุดหัวใจ อยากเจอหน้าและอยากเห็นกับตาว่าแกยังปลอดภัย
“คนไข้นอนลงก่อนนะครับ อย่าเพิ่งขยับตัวมากครับ” พยาบาลหนุ่มที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเจ้าหน้าที่เวรเปลเอ่ยห้าม พร้อมเข้าไปช่วยพยาบาลสาวรั้งตัวคนเจ็บเอาไว้
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากไปหาลูก” กัญญาวีร์ไม่ยอมนอนนิ่ง ยังคงฝืนความเจ็บเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งโดยไม่ฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
“คุณแม่ใจเย็น ๆ แล้วนอนลงก่อนนะคะ แขนคุณแม่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าขยับตัวมาก ๆ อาการอาจจะแย่ลงได้ค่ะ” พยาบาลสาวที่นั่งรถมาด้วยกันเอ่ยบอกด้วยความหวังดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บแล้ว ฉันอยากเจอลูก ลูกชายของดิฉันอยู่ไหนคะ”
“น้องถึงมือหมอแล้วค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“อยู่ไหนคะ ลูกดิฉันอยู่ไหน” กัญญาวีร์ไม่ยอมฟัง เธอยกมือข้างที่ไม่เจ็บขึ้นมาเช็ดน้ำตา พร้อมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องฉุกเฉิน ทว่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกชาย จึงทำให้คนเป็นแม่เกิดอาการร้อนใจขึ้นมาอีก เธอหันกลับมาถามพยาบาลอีกครั้ง “ลูกฉันล่ะคะ ลูกฉันอยู่ที่ไหน ไหนคุณบอกว่าลูกชายดิฉันมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ทำไมไม่เห็น”
พยาบาลสาวซึ่งไม่รู้อะไรแน่ชัดหันไปมองรอบ ๆ ครั้นไม่เห็นคนเจ็บที่เป็นเด็กชาย จึงหันกลับมาถามเพื่อนร่วมงานของตน
“ประมาณสิบห้าหรือยี่สิบนาทีที่แล้ว นายเห็นเด็กผู้ชายอายุประมาณสี่ขวบถูกส่งตัวมาที่นี่ไหม”
บุรุษพยาบาลทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเองก็ไม่แน่ใจ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็มีเคสทำแผลที่เตียงสุดท้าย แต่คิดว่าน่าจะเป็นเคสที่หมอน้ำปิงพาเข้าห้องผ่าตัดด่วน เพื่อความชัวร์ชายหนุ่มจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่ลงบันทึก ไม่นานก็เดินกลับมาตอบ “ถูกส่งตัวไปห้องผ่าตัด เพราะเหมือนกระดูกซี่โครงหักไปทิ่มปอด ต้องรีบผ่าตัดด่วน”
กัญญาวีร์ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดหลุดลอยออกไป หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างรุนแรงเมื่อได้รู้ว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บอย่างไร น้ำตาที่ยังไม่แห้งเหือดไหลออกมาเป็นทาง เธอปล่อยโฮเสียงดังอย่างไม่อายใคร รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอน ๆ ด้วยเป็นห่วงลูกสุดหัวใจ
“ฉัน...ฉันขอเข้าไปหาลูกได้ไหม ฉันอยากอยู่กับลูก” เธอร่ำไห้ร้องขอเจ้าหน้าที่ด้วยเสียงสะอื้น มองหน้าเจ้าหน้าที่ผ่านม่านน้ำตาที่ยังรินไหลอย่างต่อเนื่อง
“เข้าไม่ได้ค่ะคุณแม่ ตอนนี้คุณหมอกำลังทำการรักษา ส่วนคุณแม่เองก็ได้รับบาดเจ็บ คุณแม่รอให้คุณหมอมาตรวจอาการก่อนนะคะ” พยาบาลยังคงบอกอย่างใจเย็น ก่อนจะหันไปส่งเสียงถามเจ้าหน้าที่จัดคิวที่เดินผ่านพอดี “กุ๊กไก่ มีคุณหมอท่านไหนว่างไหมคะ เรียกมาดูอาการคนไข้เตียงนี้หน่อยค่ะ”
“อืม...” คนที่ชื่อกุ๊กไก่ส่ายหน้า ด้วยตอนนี้หมอที่อยู่เวรไม่มีใครว่างสักคน “ตอนนี้ไม่มีคุณหมอว่างเลยค่ะ หมอปิงกับหมอเดียวก็เพิ่งเข้าห้องผ่าตัดไป ตอนนี้เหลือแค่หมอเจี๊ยบกับหมอโรจน์ แต่ก็ติดคนไข้เหมือนกัน”
ขณะที่เจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังชุลมุนจากการรับมือผู้ป่วยที่พร้อมใจกันเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็มีเสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินดังขึ้น
“หมอเขตมาแล้ว มีเคสไหนด่วนยกมือบอกหมอเลย”
ได้ยินดังนั้นพยาบาลสาวที่ดูแลเตียงของกัญญาวีร์ก็รีบยกมือขึ้นทันที “ทางนี้ค่ะหมอ”
แพทย์หนุ่มซึ่งถูกเรียกตัวมาช่วยแบบเฉพาะกิจพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปยังเตียงผู้ป่วยโดยไม่รีรอ พอมาถึงพยาบาลก็รีบรายงานอาการผู้ป่วยและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้คนเป็นหมอฟังเลยทันที
ในระหว่างที่คุณหมอกำลังสำรวจบาดแผล ผู้ป่วยสาวที่เพิ่งเช็ดน้ำตาออกไปก็เริ่มมองได้ชัดเจนขึ้น ทันทีที่เธอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงชัด ๆ มือข้างที่ไม่เจ็บก็เลื่อนออกไปจับลำแขนแกร่งในทันที ก่อนที่เธอจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังทุกคนอึ้งไปตาม ๆ กัน
“หมอ...ลูก...ลูกอยู่ในห้องผ่าตัด หมอ...ฮึก!...หมอช่วยลูกของเราด้วยนะ ฉันของร้อง ขอร้องนะหมอ หมอช่วยลูกของเราด้วย ฮือ ๆ ๆ ๆ” คล้ายเป็นประโยคที่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่คำว่า ‘ลูกของเรา’ นั้นดังชัดในโสตประสาทการได้ยินของสุดเขต