ทานอาหารเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายกัน ไนน์กลับไปที่คณะวิศวะเตรียมกิจกรรมให้น้องใหม่ในฐานะรองประธานสโมสรนักศึกษา อชิขอกลับไปนอนที่ห้อง สกายไปห้างรับน้องชายจากที่เรียนพิเศษ ส่วนริวก็สุ่มออกไปหาสาวในแค็ตตาล็อก
“พี่ริวนี่เหมือนฮ่องเต้เลยนะคะ” ระหว่างกำลังเดินเข้าไปในลิฟต์ขึ้นคอนโดจู่ๆ แก้มใสก็เอ่ยขึ้น
“ยังไง” ล่าคลื่นถามกลับ
“ก็สมัยก่อนเวลาฮ่องเต้จะให้พระสนมคนไหนปรนนิบัติก็จะพลิกป้ายเลือก พี่ริวก็เหมือนกันหนูเห็นนะว่าพี่เขาดูใช้ความคิดตอนเลือกว่าจะโทรหาใครดี”
“หึ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกไอ้ริวแค่กำลังเลือกว่าในบรรดาคนเหล่านั้นใครน่ารำคาญน้อยที่สุด”
“ไม่ใช่เลือกว่าชอบใครมากที่สุดเหรอคะ”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก สำหรับริวมันไม่มีคำว่าชอบหรือรักอยู่ในพจนานุกรมมานานแล้ว ผู้หญิงทุกคนก็เหมือนของเล่นตอนเห็นครั้งแรกก็อยากได้แต่พอซื้อมาลองเล่นแล้วแป๊บๆ ก็เบื่อ ริวไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางใจกับใครเลยสักคน”
“แล้วผู้หญิงพวกนั้นก็ยอมเหรอ”
“ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ร่วมกันไม่มีอะไรให้ต้องคัดค้าน พวกเธอเองก็รู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนี้ไม่มีใครเอาใจไปลงเล่นกัน”
“ฟังดูน่าปวดหัวจัง ถ้าไม่อยากให้ใจใครทำไมไม่ลองอยู่คนเดียวดู”
“นั่นสินะ”
ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี แก้มใสเดินนำออกมาโดยมีล่าคลื่นคอยเดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลัง พอมาถึงห้องเขาก็รอให้แก้มใสไขประตูเข้าไปก่อนแล้วค่อยหันหลังกลับไปเปิดประตูห้องตัวเอง
ยังไม่ทันหายเหนื่อยพี่ชายสุดที่รักที่ทิ้งเธอไปเที่ยวพัทยาก็โทรมาพอดี
“ฮัลโหล”
(กลับห้องยัง)
“เพิ่งถึงห้อง”
(เลิกนานแล้วไม่ใช่เหรอ)
“พี่ล่าคลื่นพาไปกินกะเพรามีเต้ามา”
(ไปกับมันสองคน?)
“พี่ริว พี่ไนน์ พี่สกาย แล้วก็พี่อชิก็ไปด้วย”
(พวกมันไม่ได้จีบอะไรใช่ไหม)
“ไม่ค่ะพี่ๆ เขาก็แค่ชวนคุยเรื่อยเปื่อย” แก้มใสคุยโทรศัพท์ไปพลางรินน้ำเปล่าใส่แก้วไปพลาง
(งั้นก็ดีแล้ว ในมหาลัยแก้มจะชอบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่พวกมัน)
“ทำไมล่ะ พวกเขาเป็นเพื่อนพี่นะ”
(ก็เพราะเป็นเพื่อนไงถึงได้รู้นิสัยดี โดยเฉพาะไอ้ริวห้ามอยู่สองต่อสองกับมันเด็ดขาด!)
เรื่องนั้นถึงกันต์ธีร์ไม่บอกแก้มใสก็ไม่ได้คิดจะอยู่สองต่อสองกับหมาป่าหิวโหยอย่างริวอยู่แล้ว เธอไม่ได้ตาบอดหูหนวกถึงขั้นเอาใจไปลงเล่นกับคนไม่มีหัวใจอย่างริวหรอก
“กับพี่อชิล่ะ” คนนี้ดูไม่มีพิษภัยที่สุด
(มันจะวินาศเอาน่ะสิ ไม่คิดเหรอว่าถ้าอยู่กับไอ้อชิมันจะเหมือนเด็กน้อยสองคนอยู่ด้วยกัน)
แก้มใสลองคิดตามก็เผลอหลุดยิ้มออกมา อชิเหมือนเด็กจริงนั่นแหละ กินเสร็จก็นอน นอนเสร็จก็ตื่นมาเล่นเกม เธอเองยังแปลกใจที่คนแบบเขาดันสามารถเข้ากับหมาป่าคนอื่นได้ทั้งที่ตัวเองดูเหมือนไซบีเลียนฮัสกี้ซะมากกว่า
“แล้วพี่ไนน์ล่ะคะ”
(รายนั้นติดเล่นเกินไปแก้มไม่ชอบหรอก)
“งั้นพี่สกาย”
(เงียบเกินไปอยู่ด้วยแล้วจะอึดอัด)
แม้กันต์ธีร์จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่เขากลับรู้จักแก้มใสดีทีเดียว
“แล้วพี่ล่าคลื่นล่ะคะ”
(...)
เอ๊ะ ไม่ได้ยินเหรอ ร่างบางดึงโทรศัพท์ออกมาจากหูเพื่อดูว่าสายหลุดไปแล้วหรือยัง เมื่อเห็นว่าสายยังไม่หลุดเธอจึงลองเรียกชื่อปลายสายดูอีกครั้ง
“เฮียกันต์ ได้ยินหนูไหม”
(ได้ยิน)
“อ้าวแล้วทำไมเงียบล่ะ หนูก็นึกว่าวางสายไปแล้วซะอีก”
(เฮียกำลังคิดอยู่ว่ากับล่าคลื่นแม้จะดูพึ่งพาได้ นิสัยก็ไม่ได้แย่แต่มันไม่น่าจะชอบเด็กแบบแก้มหรอก)
“หมายความว่าไง เฮียจะบอกว่าหนูไม่คู่ควรกับเพื่อนเฮียเหรอ”
(เปล่า เฮียแค่รู้สึกว่าไอ้คลื่นมันไม่น่าจะชอบไทป์ตุ๊กตาบาร์บี้แบบแก้ม)
“แล้วพี่คลื่นชอบแบบไหน”
(ไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่รู้จักกันไอ้คลื่นไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ผู้หญิงที่วนเวียนอยู่ในชีวิตก็เห็นจะมีแต่...) กันต์ธีร์ยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นจนเขาหยุดเงียบไป
เพล้ง!
มันคือเสียงแก้วแตก แม้จะได้ยินไม่ชัดแต่เธอก็ค่อนข้างมั่นใจ
(แค่นี้ก่อนนะแก้ม)
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจก่อนจะตัดสายน้องสาวทิ้งไป แก้มใสเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะมีเรื่องก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงส่งข้อความไปหาเขา
แก้มใส : มีอะไรรึเปล่า
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงกันต์ธีร์ก็ตอบกลับมา
กันต์ธีร์ : เปล่า อย่านอนดึกนะ
แก้มใส : ค่ะ
แก้มใสทำท่าจะพิมพ์ถามบางอย่างที่ยังค้างคาใจแต่ไม่รู้จะถามอย่างไรดีจึงพิมพ์ๆ ลบๆ อยู่หลายครั้งจนกันต์ธีร์สังเกตเห็น
กันต์ธีร์ : มีอะไรรึเปล่า
แก้มใสตัดสินใจลองพิมพ์ถามดู
แก้มใส : เรื่องพี่ล่าคลื่นที่บอกว่ามีแค่ผู้หญิงคนเดียวที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของพี่เขาคือใครเหรอ
กันต์ธีร์ : แม่มันน่ะสิ
แก้มใส : อ๋อออ
กันต์ธีร์ : ไปนอนได้แล้ว
แก้มใส : อื้ม ฝันดีนะเฮีย
กันต์ธีร์ : ฝันดีตัวเล็ก
วันเวลาผ่านไปแก้มใสก็เริ่มชินกับชีวิตนักศึกษา ติดอยู่แค่อย่างเดียวคือชื่อของเธอ ทางคณะมีกฎว่านักศึกษาใหม่ต้องห้อยป้ายแขวนชื่อหนึ่งเทอม เธอจึงต้องจำใจใช้ชื่อแก้มก้อนไปก่อน เฮ้อ...ทุกคนต่างเหลียวมองชื่อเธอแล้วอมยิ้ม
“อิงอิง”
“หื้ม”
“อิงว่าเราถอดป้ายชื่อแล้วทำใหม่ดีไหม คนเข้าใจผิดคิดว่าเราชื่อแก้มก้อนหมดแล้ว”
“ทำไมอะ ไม่ชอบชื่อแก้มก้อนเหรอ”
“อิงว่ามันไม่ตลกเหรอ ดูสิทุกคนเห็นชื่อเราแล้วก็พากันอมยิ้มหมด” อิงอิงมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็อมยิ้มตาม
“ความจริงมันไม่ได้ตลกเลย ที่พวกเขายิ้มเพราะคิดว่าชื่อนี้มันเข้ากับแก้มมากต่างหาก”
“เข้ากับเรา?”
“อื้ม แก้มก้อนเหมือนกับแก้มป่องๆ ของแก้มไง” ว่าแล้วอิงอิงก็อดไม่ได้ที่จะบีบแก้มน้วยๆ ของเพื่อนสาว
“งื้อนิ่มเหมือนพุดดิ้งเลย มาจุ้บหน่อยมา”
ม๊วฟฟฟ!
ว่าแล้วอิงอิงก็ซุกใบหน้าคลอเคลียกับแก้มนุ่มของแก้มใสอย่างหลงใหล เธอเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะใช้ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ
“งับอีกแล้วนะอิง”
“ก็มันน่าหม่ำอ่า แก้มตุ่ยน่ารักใครเห็นก็ต้องชอบ”
“คนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นคู่เลสเบี้ยนขึ้นมาจะทำยังไง”
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ใครจะคิดอะไรก็คิดไปสิเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักหน่อย”
อิงอิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเมินเฉยไม่ใส่ใจ
“ช่วงนี้พี่พิทยังมีจีบแก้มรึเปล่า”
“เปล่า หายไปตั้งแต่ที่เราปฏิเสธแล้ว”
“ดีละ พี่พิทไม่ใช่คนดีนักหรอกเมื่อวานซืนยังเห็นอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในร้านเหล้าอยู่เลย”
“ร้านเหล้า?” แก้มใสตาโต
“อื้ม แถมยังนัวกันแบบไม่อายสายตาชาวบ้านด้วย เดิมทีก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ เราเห็นแล้วยังรู้สึกขยาดเลยเกลียดนักพวกผู้ชายเจ้าชู้”
แก้มใสจ้องหน้าอิงอิงตาปริบๆ อิงอิงเห็นสายตาของเพื่อนก็พลันเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม
“มองหน้าเราทำไม หรือว่าชอบเราขึ้นมาจริงๆ” คนพูดรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกก่อนจะขยับถดหนี ทำเอาแก้มใสถึงกับเกาหัวแกร๊กกับความมโนเพ้อพบของเพื่อน
“เราแค่อยากรู้ว่าอิงเข้าไปได้ยังไงต่างหาก เขาไม่ได้ตรวจบัตรเหรอ”
อย่างไรเสียพวกเธอก็ยังอายุไม่ถึง
อิงอิงฟังคำถามก็กระตุกยิ้มมุมปาก “ถ้าเราบอกว่ามีเส้นเลยเข้าไปได้จะเชื่อไหม”
คำตอบคือ ‘เชื่อ’ พอพูดแบบนี้แล้วแก้มใสก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด อิงอิงเป็นคุณหนูตระกูลคนรวยที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ เธอจะทำอะไรที่บ้านก็ค่อนข้างให้อิสระเว้นแต่เรื่องผิดกฎหมาย ฉะนั้นแค่เข้าร้านเหล้าคงไม่ยากเย็นเกินไปสำหรับคุณหนูอย่างเธอ
“ถามแบบนี้อยากลองไปเที่ยวดูไหม”
“ได้เหรอ”
แก้มใสตาลุกวาวเป็นประกาย เธออยากลองเที่ยวสถานที่แบบนี้ดูสักครั้งมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เคยขอให้กันต์ธีร์พาไปเที่ยวแต่พี่ชายกลับปฏิเสธบอกว่าไม่เหมาะกับเด็กเธอจึงทำได้แค่รับฟังและปฏิบัติตาม
“งั้นศุกร์นี้ไปเที่ยวกัน เดี๋ยวให้พี่การ์ดคุ้มครองรับรองปลอดภัยเที่ยวได้สบายใจหายห่วง”
“งั้นเราไปนอนบ้านอิงได้ไหม ถ้ากลับห้องเฮียกันต์ต้องรู้แน่ว่าเราไปเที่ยวมา”
“ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพี่อิงอิงคนนี้จัดการให้หนูแก้มเอง”
“อิงอิงน่ารักที่สุดดดด” ว่าแล้วแก้มใสก็จุ้บแก้มเพื่อนสาวหนึ่งทีตามประสาเอาใจคนติดสกินชิพอย่างอิงอิง
เย็นวันศุกร์
“จะไปไหน”
จึ้ก! แก้มใสชะงักเท้านิ่งหลังจากถูกพี่ชายออกคำสั่งเสียงเข้ม เมื่อกี้ตอนกลับเข้ามาในห้องเธออุตส่าห์มั่นใจแล้วว่ากันต์ธีร์ยังไม่กลับมา แต่พอเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปนอนค้างบ้านอิงอิงแค่แป๊บเดียวพี่ชายก็ออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว แถมยังอยู่กับล่าคลื่นอีก
“เฮียกลับมาตั้งแต่ตอนไหน แล้วยังจะสูบบุหรี่อีก!” หญิงสาวมุ่ยหน้าดุพี่ชาย “เฮียก็รู้ว่าหนูจมูกดีแล้วก็ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่มากๆ”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”
กันต์ธีร์กล่าวพลางดับก้นบุหรี่แล้วโยนทิ้งลงถังขยะก่อนจะเดินเข้ามาหยุดเท้าตรงหน้าน้องสาว ส่วนล่าคลื่นที่อยู่ในห้องด้วยก็ทำเพียงยืนกอดพิงผนังกำแพงมองดูพี่น้องคุยกัน
“จะ ไป ไหน”
กันต์ธีร์จ้องหน้าน้องสาวตาเขม็งพลันยกกระเป๋าสะพายหลังออกจากไหล่เธอ จากนั้นก็เปิดดูของด้านในก่อนจะขมวดหัวคิ้วชนกัน
“กำลังจะหนีออกจากบ้านเหรอ?”
แก้มใสรีบแย่งกระเป๋าคืน “เปล่าสักหน่อย หนูก็แค่จะขอไปนอนบ้านอิงอิง”
“อ๋อ หมายถึงยัยเด็กหน้าแบ๊วที่ชอบลงรูปคู่แก้มในโซเชียลน่ะเหรอ”
“อื้มคนนั้นแหละ”
“ถามจริงนะ กับน้องคนนั้นคงไม่ได้เป็นแฟนกันใช่ไหม”
“คิดอะไรเนี่ยเฮีย! อิงอิงเป็นเพื่อนสนิทหนูไม่ใช่แฟนสักหน่อย”
“เอ้าก็เห็นตัวติดกันขนาดนั้น”
“เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายไม่เหมือนกันสักหน่อย สำหรับผู้หญิงสนิทกันแค่นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด”
“อ่าๆ เฮียไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากไปนอนบ้านเพื่อนอะ”
แก้มใสขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อยด้วยไม่เคยโกหกพี่ชายเลยสักครั้ง เธอหลุบตามองพื้นแล้วเอ่ยตอบเขาเสียงแผ่ว
“อิงอิงชวน”
“ห้ะ?” คนพูดพยายามพูดให้น้อยที่สุดจะได้ไม่แสดงพิรุธ แต่เสียงเธอดันเบาเกินไปจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน
“หนูบอกว่าอิงอิงชวน”
“เฮียถามก็มองหน้าเฮียสิจะไปมองพื้นทำไม หรือว่าโกหกอะไรเฮียอยู่”
“เปล่านะ!” คนน้องรีบโพล่งขึ้นอย่างร้อนตัว ทำเอากันต์ธีร์ถึงกับตกใจไปชั่วขณะ “เปล่าก็เปล่าสิ จะเสียงดังทำไมเนี่ยตกใจหมด”
“เสียงเบาก็ไม่เอา เสียงดังก็ไม่ได้เฮียจะเอายังไงหื้ม” ในเมื่อเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าไม่ได้ แก้มใสก็เลือกเป็นฝ่ายกดดันอีกคนแทน
เคยได้ยินไหมว่าหากทำผิดอะไรไว้ให้ชิงโกรธอีกคนก่อนจะได้ไม่ถูกเขาจับผิด
“ไปเถอะกันต์” ล่าคลื่นยืนเงียบอยู่นานจนในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากพูด
“พวกพี่จะไปไหนกัน”
“ความลับ” ตอบน้องสาวเสร็จกันต์ก็หันไปพูดกับล่าคลื่นต่อ “เดี๋ยวมึงรอแป๊บนะกูเปลี่ยนชุดก่อน”
หลังจากกันต์ธีร์เดินหันหลังกลับเข้าห้องไป ภายในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่ล่าคลื่นและแก้มใสสองคน
คนน้องมองตามหลังพี่ชายจนสุดสายตาก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบเตรียมออกจากห้อง แต่ทว่าขณะที่เธอกำลังนั่งสวมรองเท้าล่าคลื่นก็เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ พลันนั่งลงจนสายตาทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน
“เด็กดื้อไม่ดี เด็กดีไม่โกหก” ล่าคลื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทำให้แก้มใสรู้สึกเสียวสันหลังวูบ “คิดแบบนั้นไหม” กล่าวจบเขาก็กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องปล่อยให้แก้มใสนิ่งค้างด้วยความรู้สึกที่เหมือนถูกจับได้คาหนังคาเขา
นี่พี่เขารู้ความคิดเราหรือไง…ทำไมรู้สึกเหมือนถูกจับได้เลย