บทที่ 4 อยากเป็นคนตระกูลหานบ้างจัง

1772 คำ
“วะ...ว้าย...อุ๊บ!!” เพ่ยถิงถิงกำลังจะร้องให้คนช่วยแต่กลับถูกปิดปากแล้วถูกผลักให้เข้าไปในซอกระหว่างตึกที่มีเพียงคนหลบเข้าไปได้เสียก่อน เธอดิ้นแล้วเงยหน้าดูว่าใครที่จับเธอตอนที่เธอเหลียวมองไปอีกด้าน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นนายทหารสุดหล่อคนนั้นกับเสี่ยวหมิงจึงโล่งอก ถอนลมหายใจแล้วจึงหยุดดิ้นและยืนเฉย ๆ ก่อนหน้านั้น... หลี่เหวินอวี้เดินไปได้สักครู่หนึ่งพลันรู้สึกผิดปกติ สัญชาตญาณระวังภัยของเขาที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มข้นจึงรับรู้ได้ทันที เขาใช้เพียงหางตาเหลียวมองแต่ไม่ได้เห็นเพียงผู้หญิงที่พบในร้านขนมปังเท่านั้น แต่ด้านหลังของเธอยังมีคนที่เดินตามมาอีกด้วย ชายสามคนที่เดินตามผู้หญิงมาห่าง ๆ แต่สายตาจับจ้องหล่อนขนาดนั้น คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกเสียจากพวกต้องการจับตัวเธอไปเพื่อค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเศรษฐีที่มีพฤติกรรมรุนแรงกับสตรี หรือว่าจะเป็นในซ่องผิดกฎหมายที่ลักลอบเปิดกัน แม้กระทั่งนำผู้หญิงขึ้นเรือไปขายในต่างประเทศ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ทางการปราบปรามไม่จบไม่สิ้นเสียที และเธอคงจะเป็นเป้าหมายของคนเหล่านั้นสินะ สังเกตจากใบหน้าที่งดงามนั่นเอง หล่อนล่ะจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย “พี่เหวินอวี้พวกมันไปแล้ว” เสี่ยวหมิงบอก เขาเองก็ว่องไวเช่นกัน เมื่อหลี่เหวินอวี้ขยิบตาเขาก็รีบมองซ้ายขวาแล้วก็หลบทันทีเมื่อถึงมุมตึก เพราะเสี่ยว หมิงสำรวจรอบ ๆ ละแวกใกล้เคียงโรงเรียนจนหมดสิ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นบวกกับเพื่อเสาะแสวงหาของอร่อย ดังนั้นตรงไหนที่ซ่อนตัวได้เสี่ยวหมิงที่มีสมองความจำระดับอัจฉริยะมีหรือจะพลาด “อื้ม...ดี” หลี่เหวินอวี้หรี่ตาลงหลังจากตอบรับคำของเสี่ยวหมิง และเมื่อเห็นว่าอีกคนสีหน้าขาวซีดคล้ายกับกลัวจนสติแตกไปแล้วทำให้เขาลดมือลงจากที่ปิดปากเธอไว้ จากนั้นลูบที่หลังเธอเบา ๆ เพื่อปลอบใจ “ไม่เป็นไรคุณปลอดภัยแล้ว” เสียงนุ่มเปล่งออกจากปากทำให้อีกคนที่กำลังขวัญเสียพยักหน้าพร้อมกับเอามือจับที่หัวใจ เพ่ยถิงถิงไม่คิดว่าตัวเองจะยังเป็นเป้าหมายของพวกคนเหล่านั้นไม่จบไม่สิ้น การใช้ชีวิตในเมืองใช่ว่าจะปลอดภัย หากลองได้เป็นเป้าหมายพวกค้ามนุษย์แล้ว พวกมันไม่ยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ แต่เธอก็แปลกใจ ทำไมคนเหล่านั้นถึงจ้องมองแต่เธอล่ะ เด็กน้อยเสี่ยวหมิงก็หน้าตาดี ทั้งเป็นลูกหลานคนมีตระกูล เรียกค่าไถ่ยังไงก็ได้เงินเยอะกว่าเธอที่เป็นเพียงลูกทหารตกยากเป็นไหน ๆ ทำไมต้องเกิดแต่กับถิงถิง? เธอเหม่อลอยไปไกลแล้วจนไม่รู้ว่าข้อมือเล็ก ๆ ของตัวเองถูกฉวยจับโดยมือใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เดินตามเขาไปจนถึงรถยนต์สีดำสนิทที่เป็นรถซีดานแบรนด์หงฉีที่ได้รับความนิยมในหมู่มหาเศรษฐีของยุคนี้ ทำให้ได้สติจนขยับแขนจากการเกาะกุมของเขา แต่ทว่าความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือนั้นทำให้เธอแหงนมองใบหน้าคมคายที่มองเธอด้วยสายตาเอาแต่ใจนิด ๆ จนเธอนึกขึ้นได้ว่าเขาช่วยเธอไว้ควรจะขอบคุณเขาสักคำ “เอ่อ...ขอบคุณที่ช่วยฉันวันนี้นะคะ ที่จริงฉันก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะ...” “นี่ใช้คำว่าระวังตัวแล้วเหรอ!” เธอยังไม่ทันได้พูดจบเสียงขุ่น ๆ ติดหงุดหงิดก็พ่นใส่หน้าเธอ เธอสูงเพียงแค่ปลายคางของเขา ทำให้เมื่อก้มหน้าใบหน้าของเธอเกือบชิดอก ทั้งเขายังรั้งให้เข้าไปจนเธอเซถลาใบหน้าแนบไปที่อกแกร่งทันที ฮึก! สาบานว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะใกล้ชิดเขา แต่ทว่าเรี่ยวแรงของเธอแตกต่างจากเขามากเท่านั้นเอง แล้วเขาก็ใจร้าย เธอเสียขวัญยังไม่ทันหายดีเขาก็มาดุอีก จนเธอใบหน้าบิดเบ้เสียจนอยากจะร้องไห้ หลี่เหวินอวี้เห็นดังนั้นแล้วเขารู้สึกใจหล่นวูบ ปกติเขาเป็นคนสุภาพ แต่เมื่อครู่กลับทำไปอย่างไร้สติเสียอย่างนั้น ให้ตายสิ! “ขึ้นรถ...เดี๋ยวพากลับบ้าน” “เอ่อ...ไม่รบกวนคุณดีกว่าค่ะ” เพ่ยถิงถิงก้มหน้า ไม่เงยหน้าสบตาเขา นั่นทำให้คนที่พูดจาไม่ดีกระวนกระวายใจ เขาหันไปสั่งคนของตนเองที่ติดตามมาสองนาย ให้ไปสืบดูคนเหล่านั้น แล้วก็จับเธอยัดเข้าไปในรถด้านหลังจากนั้นเจ้าเสี่ยวหมิงก็ขึ้นไปนั่งขั้นกลาง ส่วนเขานั่งริม “ออกรถ” เขาสั่งและไม่ถามคนที่เอาแต่หน้าบึ้งมือกำกระเป๋าสะพายของตัวเองแน่น พลันพ่นลมหายใจอย่างรู้สึกว่าเธอเป็นเด็กดื้อตาใส และควรหาวิธีที่จะสั่งสอนเธอ บางทีเขาควรใจเย็นกว่านี้ ไม่ควรใช้อารมณ์เกินไป ปกติคุยกับเหล่าลูกน้องจะเป็นคนสั่งการ ทำให้ไม่รู้จักวิธีพูดดี ๆ กับหล่อน แต่เรื่องราวกลับคลี่คลายเมื่อรถแล่นออกมาสักพัก พร้อมกับเสียงดูดนมของเจ้าเสี่ยวหมิง กับคำพูดออกมาราวกับรู้เรื่องราวเต็มที่ “พี่สาวไม่รู้อะไร คนพวกนี้ใจร้ายมาก มักจะมาจับตัวคนไร้ทางสู้ แต่ไม่มีทางจับหมิงได้หรอก เพราะหมิงน่ะเก่ง” นั่นสิ...เจ้านี่เก่งทุกอย่าง กินเก่ง นอนเก่ง แล้วก็ปากเก่ง พอนึกถึงความเก่งของเสี่ยวหมิงก็ทำให้สีหน้ามืดครึ้มดีขึ้นเล็กน้อย แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาสับปะรดของเจ้าอ้วน “นั่นไง...พี่เหวินอวี้หมิงรู้นะว่าคิดไม่ดีกับหมิงอยู่ จะด่าหมิงก็พูดออกมาเถอะถ้าจะมองขนาดนั้นน่ะ” เสี่ยวหมิงเห็นท่าทางของหลี่เหวินอวี้พลันรู้ทัน จึงรีบดักคอ ตอนแรกที่พบกันก็สามัคคีกันดี พอตอนหลังหมิงเป็นที่รักเข้าหน่อยก็ชอบอิจฉาหมิง และชอบด่าในใจ “รู้ก็ดีแล้วนี่” “ชิ! ผู้ชายเย็นชา” นั่นปะไรโดนเจ้าตัวแสบด่าเข้าให้แล้ว แต่ทว่าอีกคนที่นั่งก้มหน้าเงียบในตอนแรกสีหน้าดีขึ้นแล้ว ทำให้เขายักคิ้วขวาขึ้นมองหล่อนอย่างสนใจ ‘พอใบหน้าไม่เศร้า น่ามองขึ้นเป็นกองเลยนะ’ ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวไม่ทันได้รู้ตัว แต่เขาก็ปล่อยให้ความคิดนี้ลอยวนไปวนมาไม่ยอมสลัดทิ้งไปเสียที หลายปีมานี้เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงอีก เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้เขาระมัดระวังตัว ยิ่งผู้หญิงที่เข้ามาเพื่อผลประโยชน์ ทำให้เขารังเกียจที่สุด “พี่สาวรู้ไหมว่าคนพวกนี้ทำไมไม่จับเด็กในโรงเรียน” “ทำไมล่ะ ก็เด็กในโรงเรียนมีแต่คนมีเงินไม่ใช่เหรอ” ถิงถิงเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน “เด็กน่ะมีเยอะก็จริง แต่ลูกคนรวยตำรวจจะติดตามน่ะสิ หากเป็นลูกตาสีตาสาไม่มีเงินตำรวจก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอก นี่หมิงไปกินโจ๊กป้าหลี่เลยได้รู้มาน่ะ” เพ่ยถิงถิงฟังเสี่ยวหมิงพูดก็คิดว่าน่าจะจริง มิน่าล่ะ คนชนชั้นกลางถึงได้ถูกจับไปบ่อยครั้ง ยิ่งเป็นสตรีใบหน้างดงามยิ่งเป็นเป้าหมายหลักของคนเหล่านี้ “แต่พื้นที่ของตระกูลหานไม่มีใครกล้ายุ่งหรอกนะ จะบอกให้ ยิ่งเป็นคนตระกูลหานด้วยแล้ว แค่เฉียดใกล้คนพวกนั้นก็ก้าวข้ามเส้นตายไปครึ่งตัวแล้ว” เสี่ยวหมิงพูดจาอวดเบ่งแล้วหยุดดูดนมก่อนจะโอ้อวดต่อ “คนตระกูลหานใครก็ห้ามแตะ” เสี่ยวหมิงพูดพร้อมกับเอานิ้วโป้งเชือดคอทำสีหน้าเลือดเย็น แต่เพ่ยถิงถิงเห็นว่าน่ารักเสียมากกว่า “ว้าว! คนของตระกูลหานดีจริง ๆ เลยเนอะ ทำยังไงพี่จะได้เป็นคนของตระกูลหานบ้างล่ะ” เพ่ยถิงถิงคิดว่าเธอควรจะหาทางพึ่งพิง หรือว่าหาคนคุ้มครองนั่นเอง หากต้องจ่ายส่วยสักหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา “ตระกูลหานมีลูกชายสองคน...แต่แต่งงานหมดแล้ว เหลือแต่หมิงกับอาเหล่ย แม้ไม่ใช่คนตระกูลหานแต่ก็สำคัญกับพี่เขย แต่หมิงจะเสียสละตัวเองก็ได้ พี่สาวหมั้นกับหมิง ก่อนก็ได้ หมิงโตค่อยแต่งก็ไม่สาย” “...” ถามจริ๊งงงงง! ขณะที่เธอต้องการเรื่องจริงจัง แต่เจ้าเด็กอ้วนกลับพูดเรื่องแต่งงาน ซึ่งเธอหลบเลี่ยงมาตลอด หากหมั้นกับเสี่ยวหมิงถึงเวลาแต่งงานได้ เธอคงได้เป็นแม่เขาพอดี ให้ตายสิ แต่คนอีกฝั่งกลับนั่งไม่นิ่ง ขยุกขยิกคล้ายกำลังกระสับกระส่าย แต่เธอไม่กล้าหันสบตาเดี๋ยวจะโดนดุเสียก่อน จนกระทั่งเสียงนั้นพูดออกมาลอย ๆ “เป็นคนของตระกูลหลี่ใครก็ไม่กล้ายุ่งเหมือนกันนั่นแหละ!” คำพูดนั้นทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางสงสัยในประโยคที่เขาเอ่ยออกมา ‘เป็นคนตระกูลหลี่แล้วอย่างไรล่ะ’ จากนั้นพบว่ารถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน...ใช่บ้าน แต่นี่บ้านใครไม่ใช่บ้านเธอสักหน่อย “เอ่อ...คุณฉันจะกลับบ้าน” เธอบอกเขาเพราะลืมดูว่าเส้นทางมันไม่ใช่บ้านของเธอ เพราะมัวแต่คุยกับเสี่ยวหมิง “นี่ก็บ้านเหมือนกัน” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “บ้านใครคะ?” “บ้านผม” “...” คนหน้ามึนตอบโดยไร้ซึ่งแววตาล้อเล่น นั่นทำให้เธอหันมองตัวช่วยที่กำลังกินขนมไปด้วย แต่ทว่าเจ้าเด็กอ้วนกลับส่งสัญญาณว่ากำลังเคี้ยวอยู่รอสักครู่ แต่เมื่อรถจอดสนิท มีคนมาเปิดประตูให้ ทำให้เธอต้องลงไปโดยปริยาย แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับทำให้ตัวเองเบิกตากว้างอย่างตกใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม