ตอนที่ 5
มื้อเย็นแสนอร่อย
.....ทำไมต้องมากินร้านเดียวกัน!!
“อร่อยมั้ยเจนเอาอะไรเพิ่มมั้ย?”
วิทย์ เอ่ยถามเบาๆเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าจัดการกับอาหารจนพร่องไปพอสมควร แต่คล้ายแววตาของเธอเหม่อลอยไปด้านอื่น โดยไม่ใส่ใจเขาที่นั่งอยู่ตรงข้ามแม้แต่น้อย คำบอกนั้นดึงสติของ เจนจิรา กลับมาเมื่อเห็นว่าตัวเองใจจดจ่ออยู่กับห้องวีไอพีด้านในมากจนเกินไป
คงไม่มีอะไรมั้ง? ติณคงมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ
และถ้าเห็นก็คงไม่เป็นไร เพราะเธอแค่มากินข้าวกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้มีอะไรเสียหน่อย อีกอย่างเขาคงไม่ได้อะไรกับเธอมากมาย เพราะอย่างไงเธอก็เป็นแค่ลูกน้องธรรมดาในบริษัท
“อิ่มแล้วค่ะพี่วิทย์อร่อยมากๆเลย”
“ดีใจที่เจนชอบ เห็นตั้งแต่มาทำงานที่นี่เราแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย งานแผนกธุรการนี่มันหนักมากขนาดนั้นเชียวเหรอ เห็นเคร่งเครียดทุกวัน”
“หนักพอควรค่ะพี่ เอกสารมือเป็นประวิงเลยแค่ดีลเลอร์เจ้าเดียวก็ทำแทบจะไม่ทันแล้ว ตอนนี้เจนต้องดูเกือบยี่สิบเจ้าวันๆหัวฟูมาก แทบไม่มีแม้แต่เวลาหยิบมือถือมาดู”
เธอเอ่ยบอกตามความจริง ทำไมนะคนถึงชอบคิดว่างานแผนกแอดมินหรือธุรการเป็นงานสบายที่ไม่ใช้สมอง ทั้งที่เป็นงานที่ต้องใช้สมาธิและความละเอียดรอบคอบค่อนข้างสูง แถมยังต้องแบกรับความกดดันจากทุกแผนกเลย
ไม่ต่างจากถังขยะในออฟฟิศดีๆนี่เอง
นี่ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเป็นบริษัทของ ติณ ภาสกรกุล เธอจะไม่มีทางเข้ามาทำในตำแหน่งที่แสนวุ่นวายนี้เด็ดขาดเลยเชียว
“โอเคๆ พี่เชื่อละ เพราะพี่ไลน์ไปหาบางทีเกือบสามวัน เจนถึงตอบไลน์พี่ที สงสัยจะยุ่งจริงๆ”
วิทย์บอกอย่างเสียไม่ได้
...แต่ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดตอบไลน์คนอื่นไม่ได้ขนาดนั้นหรอก
ทั้งคู่ใช้เวลากับอาหารมื้อเย็นพอสมควร ก่อนที่เจนจิราจะขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว เธอจึงเอ่ยบอกรุ่นพี่อย่างสุภาพ เมื่อเตรียมเดินออกมาด้านนอก
“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่วิทย์สำหรับอาหารมื้อนี้ ไว้คราวหน้าให้เจนเลี้ยงตอบแทนคืนบ้างนะคะ พี่วิทย์เลี้ยงเจนบ่อยแล้วตั้งแต่สมัยเรียนเลย”
วิทย์อยากจะบอกเหลือเกินว่า เขาเลี้ยงเธอทั้งชีวิตเลยก็ยังได้ แต่กระนั้นก็ได้แต่เพียงพยักหน้ารับอย่างสุภาพ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นรุ่นน้องในคณะที่รู้สึกกันมานมนานแล้ว
รุ่นน้องที่เธอมองเขาเป็นเพียงรุ่นพี่มาตลอด..
“ไม่เป็นไรหรอก อยากกินอีกเมื่อไหร่ก็บอกมาว่าแต่กลับยังไงเดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโดดีกว่า”
วิทย์อาสาอย่างกระตือรือร้นเมื่อเดินออกมาด้านนอก แต่เจนจิราส่ายหน้าปฎิเสธด้วยความเกรงใจ
“อุ้ยอย่าดีกว่าค่ะพี่วิทย์ซอยคอนโดเจนมันแคบและรถติดมากอีกอย่างคนละทางกลับบ้านพี่เลยย้อนกลับไปมาเสียเวลาเปล่าๆ เดี๋ยวเจนนั่งรถไฟฟ้ากลับจะสะดวกกว่าพี่กลับเถอะไว้ค่อยไลน์กันพรุ่งนี้”
เอ่ยเสร็จเธอก็รีบสาวเท้าเดินออกมาทันที เมื่อมองเห็นกลุ่มคนด้านในที่น่าจะเป็นคู่ค้าและเจ้านายของเธอกำลังเดินออกมาจากห้องวีไอพี ด้วยยังไม่อยากจะประจันหน้ากับติณในตอนนี้
ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมเธอเริ่มกลับมากระดากอายเขา
เมื่อสัมผัสได้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นเจ้านายหนุ่มแว่นที่เย็นจืดชืดเหมือนดั่งที่เธอคาดคิดไว้ในตอนแรก ยิ่งนึกถึงความวาบหวามจากปลายลิ้นสากร้อนเมื่อช่วงบ่ายในห้องทำงานของเขา ใจเธอก็เริ่มเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
...อ่อนหัดจริงๆ เจนจิรา เอ้ย!!!
“อะ ..จะเจน”
วิทย์ได้แต่ยืนฉงน และมองตามหลังร่างบางของรุ่นน้อง
“ขอบคุณมากเลยนะครับคุณติณ งานสัญญาใหม่ยังไงเราคงได้เริ่มสัญญากันเร็วๆนี้ ว่าแต่...เพิ่งรู้ว่าคุณติณชอบทานอาหารเวียดนาม ร้านนี้อร่อยถูกใจมากเลย”
คู่ค้าคนสำคัญของแพลตฟอร์ม VM เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแช่มชื่น หลังเดินออกจากห้องอาหารวีไอพีที่ติณให้เลขาจัดเตรียมให้เพื่อรับรองพาร์ทเนอร์ของบริษัท
“ยินดีมากครับที่คุณเจฟกับคุณศจีชอบ ความจริงผมชอบทานอาหารที่หลากหลายครับ ยังมีร้านอร่อยอีกหลายที่ระดับมิชลินที่อยากให้คุณทั้งคู่ได้ลอง ไว้โอกาสหน้าไปชิมกันครับ”
ติณ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าทรงพลัง แม้ภายนอกบุคลิกเขาจะดูเป็นคนเคร่งขรึมแต่เวลาเจรจาทางค้าเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท ใครๆก็ต่างบอกเขาว่าเป็นพ่อมดใบมีดโกน ด้วยวาจาน้อยแต่ทัชใจทุกคำพูด
เขาถือคติว่า พูดมากไม่สร้างโอกาสเท่าพูดในสิ่งที่พอควร
ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบมากมายเพียงใด คำพูดทุกคำที่เอ่ยกับผู้คนยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะถ้อยคำเหล่านั้นจะกลับมาผูกมัดตัวเองในภายหลังทุกครั้ง
เขาจึงเลือกที่เจรจาด้วยความจริงใจในตอนที่มีสติเสมอ
...ดั่งเช่นในวันนี้
.
.
ตอนแรกนั้นเจนจิราตั้งใจจะนั่งแกรบวินกลับคอนโด แต่เมื่อเดินออกมาถนนใหญ่เธอกลับรู้สึกเสียดายตังค์ ด้วยลองคำนวณดูแล้วการนั่งรถไฟฟ้าลงปากซอยแล้วเดินเข้าไปจะประหยัดกว่าด้วยอีกนานกว่าเงินเดือนจะออก
เพิ่งทำงานได้ไม่กี่เดือนประหยัดเสียหน่อยจะดีกว่า
คิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินลัดเลาะเลียบทางทางเท้าเพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งอยู่ไม่ไกลนักราวห้าสิบกิโลเมตร และตอนนี้เวลาประมาณสามทุ่มถนนหนทางของเมืองหลวงกรุงเทพฟ้าอมรก็สว่างสดใส
เหมาะกับการเดินเป็นที่สุด..ใครจะนั่งรถให้เสียเงินกัน
แค่ลัดเลาะไปหน่อยก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว
ปี๊ปๆๆ
เสียงแตรรถที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้เธอหันกลับไปมอง และเห็นแอสตันมาร์ตินสีเทาคันหรูที่คุ้นเคยวิ่งเลียบช้าๆมาใกล้ๆ ก่อนที่กระจกรถจะถูกเลื่อนลง
หน้าหล่อเหลาชะโงกหน้าออกมาตะโกนสั่งเธอเสียงเข้ม
“ขึ้นมาซิครับ!”
*************