ปัจจุบัน
แสนรักเพิ่งจะกลับมาถึงห้องเมื่อชั่วโมงก่อน ร่างเล็กยังคงอยู่ในชุดเดิมที่สวมใส่ไปงานวันเกิดเจ้าสัวจิณณะตั้งแต่เมื่อคืน หญิงสาวนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก ถอนหายใจอีกระลอกซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจนักว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
“เฮ้อ”
ไม่ถอนหายใจเปล่าแสนรักยังส่งเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังออกมาด้วย หากเป็นคนอื่นเธอก็อาจจะคิดหนักนั่นแหละแต่คงไม่หนักมากเท่ากับที่คนๆ นั้นดันเป็นเจ้านายของเธอ แสนรักอยากจะมองโลกในแง่ดีให้มากกว่านี้สักหน่อย เป็นต้นว่าเธอและเขาต่างคนต่างเมาและผล็อยหลับไป แต่ไอ้อาการที่ปวดเมื่อยไปแทบทั้งตัว อาการที่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้นตอนที่ตื่นขึ้นมาทำให้เธอคิดดีไม่ได้จริงๆ
“เฮ้อ”
แสนรักถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะตัดใจลุกจากโซฟา เธอควรไปอาบน้ำสระผมเพื่อให้สมองโล่งกว่านี้เผื่อจะคิดอะไรดีๆ ออกบ้าง หรือถ้าหากคิดไม่ออกแล้วจริงๆ แล้วละก็เธออาจจะต้องขอคำปรึกษากับแสนหวานและแสนดีเพื่อนสนิทของเธอกระมัง
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์หลังจากที่เธอไปงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าสัวจิณณะคืนวันศุกร์ แสนรักจึงมีเวลาอ้อยอิ่งกับการอาบน้ำ ปกติหญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำสิบห้านาทีถ้วนไม่ขาดไม่เกิน แต่ตอนนี้ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงเจ้าของร่างบางก็ยังคงยืนอยู่ใต้ฝักบัว สติของหญิงสาวค่อนข้างหลุดลอย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เผลอเปิดน้ำร้อนจัดอย่างไม่ตั้งใจ ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง มือเรียวรีบหมุนปิดฝักบัวพลางขยับเท้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาห่อตัว แล้วคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมทับอีกที
“ฮือ…แดงเลย”
แสนรักโอดครวญตอนที่เดินมานั่งที่เก้าอี้สตูหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ตากลมสำรวจบริเวณที่โดนน้ำอุ่นจัดเข้าอย่างจัง รอยริ้วแดงจางปรากฏให้เห็นอยู่ประปรายตามตัว โดยส่วนใหญ่จะเป็นช่วงท่อนแขนเรียว
“สติหลุดขนาดนี้จะเจอหน้าคุณจีรได้ยังไง”
แสนรักเบะปากคล้ายคนที่กำลังจะหลั่งน้ำตาอยู่รอมร่อ ทว่าอาการปวดแสบที่ผิวหนังทำให้แสนรักจำต้องละทิ้งความเศร้าโศกเสียใจนั้นไว้ก่อน ร่างบางลุกจากเก้าอี้สตูเดินไปที่โซนห้องครัว หยิบเจลเย็นในตู้เย็นออกมา ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม
แสนรักใช้เจลเย็นประคบตรงบริเวณที่มีรอยแดงจาง ครู่เดียวความร้อนบริเวณผิวตามตัวที่เคยมีก่อนหน้าก็ค่อยๆ เบาบางลงและเลือนหายไปในที่สุด หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะนำเจลเย็นไปเก็บไว้ที่เดิม จัดแจงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่ หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาแล้วกดโทร.ออก ถือสายรอไม่นานปลายสายก็กดรับ
“ว่าไงจ๊ะรัก”
ปลายสายคือแสนหวานเพื่อนสนิทของเธอที่ทำงานเป็นเลขาฯ ให้กับท่านประธานห้างสรรพสินค้าบีเอสมอลล์แม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะเลื่อนขั้นเป็นภรรยาเจ้าของห้างสรรพสินค้าบีเอสมอลล์เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงทำหน้าที่เลขาฯ เหมือนเดิม
“แบบว่า…วันนี้หวานพอจะว่างไหมอะ”
“ก็ว่างนะ หวานไม่ได้ทำอะไรเลย วันนี้วันหยุดของหวาน”
“แล้วหนูดีล่ะ หนูดีว่างหรือเปล่า”
แสนรักถามถึงเพื่อนสนิทอีกคน แสนดีทำงานเป็นเลขาฯ ให้กับผู้บริหารไทม์อินน์ ไนต์คลับ พวกเธอคบหากันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ด้วยว่าบังเอิญมีชื่อขึ้นต้นว่าแสนเหมือนกัน เจอกันตั้งแต่ตอนที่รับน้องเลยได้เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“น่าจะว่างนะ เมื่อกี้หวานเพิ่งวางสายจากหนูดี เห็นว่านอนอ่านนิยายอยู่ที่ห้องไม่ได้ออกไปไหน”
“อิจฉาคุณเลขาฯ เจ้าของไนต์คลับจังเลยอะ ได้หยุดงานด้วย”
“ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่ได้หยุดอย่างนั้นแหละ รักน่ะดีจะตายได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ ส่วนหนูดีน่ะได้หยุดแค่วันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ต้องเข้าร้านกับเจ้านาย”
“รักก็แค่แกล้งตัดพ้อไปงั้นแหละ” แสนรักหัวเราะเบาๆ
“ว่าแต่รักเถอะมีอะไรหรือเปล่า จะชวนพวกเราไปไหนเหรอ”
“คือแบบว่า…ถ้าหวานกับหนูดีไม่ติดอะไร ค่ำๆ ไปหาของกินกันไหม”
“รักอยากชวนพวกเราไปกินข้าวเหรอ”
“เปล่าหรอก” แสนรักช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง “รัก…อยากไปดื่มน่ะ ที่ไนต์คลับของเจ้านายหนูดีก็ได้”
“เอาสิ”
แสนหวานตกปากรับคำในทันทีแบบไม่ลังเล ไม่บ่อยเลยที่แสนรักจะเป็นคนเอ่ยปากชวนดื่มแบบนี้ แต่ถ้าเอ่ยปากชวนเมื่อไรแสดงว่าเจ้าตัวมีเรื่องอยากปรึกษาหรือไม่ก็มีเรื่องเครียดจนอยากระบาย และเพื่อนที่รู้ใจกันมานานอย่างแสนหวานก็ไม่คิดจะปล่อยผ่าน แสนดีเองก็คงเช่นเดียวกัน