แสนรักได้แต่ภาวนาในใจ อาหารที่เคยคล่องคอกลายเป็นฝืดคอขึ้นมาอย่างฉับพลัน โชคดีที่แสนรักเกือบจะอิ่มแล้วเลยถือจังหวะนั้นจัดการรวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มเสียเลย
“คุณรักอิ่มแล้วหรือครับ”
“ค่ะ และดูเหมือนว่าคุณเปรมควรจะอิ่มได้แล้วนะคะ คุณจีรกับคุณสสิรารวบช้อนแล้วค่ะ”
แสนรักพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะของจีรรัชญ์ ปรมะมองตามก็เห็นจริงอย่างที่แสนรักว่า เขาเองก็รู้สึกอิ่มอยู่พอดีจึงจัดการรวบช้อนก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะเป็นแสนรักที่ลุกจากโต๊ะก่อน
“รักไปจัดการเรื่องค่าอาหารก่อนนะคะ”
แสนรักถือบัตรเครดิตของจีรรัชญ์สำหรับชำระสินค้าและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจีรรัชญ์ หญิงสาวเลือกเดินไปจัดการค่าอาหารที่เคาน์เตอร์โดยที่ปรมะเดินมารอที่โต๊ะของจีรรัชญ์กับสสิราที่กำลังลุกจากโต๊ะ ไม่ถึงห้านาทีแสนรักก็เดินมาสมทบ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เรากลับกันเลยไหมคะ”
“อืม”
สสิราเดินไปพร้อมกับจีรรัชญ์โดยมีแสนรักกับปรมะเดินตามมาโดยเว้นระยะห่างระหว่างกันพอสมควร ทั้งสามคนรอจนกระทั่งสสิราก้าวขึ้นรถ
“ไว้พบกันใหม่นะคะคุณจีร”
จีรรัชญ์ตอบรับคำพูดของสสิราด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะดันประตูปิดให้หญิงสาว เธอยิ้มให้เขาก่อนที่จะขับรถออกไปจากลานจอดรถห้างสรรพสินค้า
“ทุกอย่างราบรื่นดีไหมครับคุณจีร”
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
จีรรัชญ์ตอบตอนที่ทั้งสามคนพากันเดินมาขึ้นรถที่จอดรออยู่อีกฝั่ง แสนรักที่ตอนนี้ไร้บทพูดได้แต่เดินตามพวกเขามาอย่างเงียบเชียบ แต่เพราะมัวแต่มองเท้าตัวเองสุดท้ายก็ชนเข้ากับกำแพงมีชีวิตอย่างจีรรัชญ์เข้าอย่างจัง
“ขะขอโทษค่ะคุณจีร”
พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นจีรรัชญ์ที่กำลังเหลียวหลังมามองเพราะเธอชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ส่วนปรมะกำลังยืนมองดูเหตุการณ์ระหว่างทั้งคู่
“ใจลอยอะไรนัก คุณมีเรื่องต้องให้คิดเยอะหรือไง”
“ไม่มีค่ะ”
แสนรักสั่นหน้าหวือปฏิเสธ ทว่าครู่ต่อมาหญิงสาวก็ต้องหน้าตาตื่นเมื่อจู่ๆ จีรรัชญ์ก็หมุนตัวมาหากัน ด้วยความสูงที่ต่างกันทำให้แสนรักต้องแหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังหลุบสายตาลงเพื่อมองเธอ
“คะคุณจีรมะมีอะไรหรือเปล่าคะ”
แสนรักนึกโมโหตัวเองที่เสียงสั่นจนดูน่าพิรุธไปหมด และไอ้อาการแปลกๆ ของเธอมันก็เกิดขึ้นหลังจากคืนนั้น คืนงานวันเกิดเจ้าสัวจิณณะ แสนรักคิดว่าเธอพยายามอย่างยิ่งยวดแล้วที่จะไม่แสดงท่าทางพิรุธออกมา แต่ยิ่งพยายามสักเท่าไรทุกอย่างกลับยิ่งเปิดเผยอย่างที่เธอควบคุมอะไรไม่ได้เลย
“พูดจาตะกุกตะกัก ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน ถามจริงๆ เถอะแสนรัก คุณไปทำความผิดอะไรมาหรือเปล่า”
ปรมะไม่แน่ใจว่าเขายังมีความจำเป็นอยู่ไหมในสถานการณ์ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้หลบไปไหน ยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิมตอนที่แสนรักถูกท่านประธานไล่ต้อนจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกฝ่ายชนเข้ากับด้านข้างของรถที่จอดรอพวกเขาอยู่
“ปะเปล่านะคะ รักไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มี๊”
“เสียงสูงไปหรือเปล่า”
“แหะๆ”
แสนรักหัวเราะแห้งๆ แต่ทว่าครู่ต่อมาก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้แผ่นอกซ้ายต้องเต้นโครมครามเมื่อจู่ๆ คุณจีรที่เมื่อสักครู่ยังยืนหน้านิ่งกอดอกอยู่ตรงหน้าขยับเข้ามาชิดกันมากขึ้น ใกล้ชนิดที่ว่าปลายรองเท้าของเขากับเธอชนกัน หนำซ้ำอีกฝ่ายยังจงใจโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่กำลังรินรดลงบนหน้าผากกลมมน ทำเอาแสนรักรู้สึกวูบวาบไปทั่วร่างกายอย่างน่าประหลาด เผลอสบสายตาคนตรงหน้าชั่วเสี้ยวนาทีแสนรักก็ต้องรีบหลุบสายตาลงต่ำ
“หัวเราะกลบเกลื่อน ก้มหน้าหลบตา แบบนี้มันมีพิรุธชัดๆ ไม่ใช่ว่าคุณ…”
“เปล่านะคะ คะคืนนั้นรักไม่นอนอยู่บนเตียงกับคุณจีรนะคะ รักเปล่า ไม่ใช่รัก”
“คุณว่าไงนะ!”
คราวนี้จีรรัชญ์ถามเสียงเข้มงวด ปรมะที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้าก็หน้าตาตื่นเมื่อได้ยินแบบนั้น คราวนี้เขาพิจารณาแล้วว่าตัวเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีเรื่องละเอียดอ่อนให้ต้องเคลียร์กัน เขาค่อยๆ ขยับเท้าถอยห่างออกมา
“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเองนะครับ”
ปรมะไม่รอให้จีรรัชญ์อนุญาต บอกแล้วเขาก็ก้าวเท้าฉับๆ เดินออกไปจากบริเวณนั้น แน่นอนว่าตอนนี้จีรรัชญ์ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม เพราะเรื่องที่ดึงความสนใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“คุณว่ายังไงนะ!”
จีรรัชญ์เค้นเสียงรอดไรฟัน แววตาคู่คมดูดุดันแข็งกร้าวอย่างที่แสนรักไม่เคยได้เห็นมาก่อน
“มันมะไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะคุณจีร ระรักก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งพิรุธ มีหรือที่คนอย่างจีรรัชญ์จะเชื่อในคำกล่าวอ้างนั้น ทว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสำหรับการคาดคั้นเอาคำตอบจากแสนรัก
“ขึ้นรถ”
“คะคุณจีรดะเดี๋ยวก่อนค่ะ”
จีรรัชญ์เปิดประตูแล้วดันร่างของแสนรักเข้าไปนั่งที่เบาะหลังโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะตามไปนั่งข้างๆ เอยปากสั่งคนขับรถเสียงเข้มงวด
“ไปได้”
“ครับคุณจีร”