ในเช้าที่มีอากาศสดใสภายในสวนของตำหนักฮ่องเต้ แม่ทัพลู่เหยียนตอนนี้กำลังพูดคุยกับฮ่องเต้อยู่
" ข้ามีงานที่จะให้เจ้าทำ ข้าใช้คนของข้าแต่ก็สามปีแล้ว ก็ยังตามหาตัวนางไม่พบ "
ฮ่องเต้เอ่ยบอกแม่ทัพลู่
" ฝ่าบาทหมายถึงใครพะยะค่ะ"
"ข้าหมายถึงน้องหญิงของข้า หลินซู นางหนีการอภิเษกไปเมื่สามปีก่อน ป่านนี้ยังหาตัวไม่พบไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน"
"ฝ่าบาทหมายถึงองค์หญิงน้อย เช่นนั้นหรือพะยะค่ะ นางโตพอที่จะแต่งงานได้แล้วหรือพะยะค่ะ"
ลู่เหยียนเอ่ยถามออกไปเพราะลืมนึกไปว่าตนนั้นไปทำศึกนานถึงเจ็ดปีแล้ว ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจที่ แม่ทัพลู่ ยังคิดว่าหลินซูยังเป็นเพียงเด็กน้อย ที่วิ่งตามตนเองอยู่เช่นนั้น
" น้องหญิงถึงวัยที่ควรจะอภิเษกได้แล้ว ตอนที่หนีไปก็อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่ด้วยความดื้อซนของนาง นางจึงแอบปีนกำแพงหนีออกไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดหรือเป็นตายร้ายดีเช่นไร ข้าไม่เคยได้ข่าวนางอีกเลย "
ฮ่องเต้เอ่ยถึงน้องสาวเพียงคนเดียวของตน ก็มีสีหน้าที่เศร้าลง แม่ทัพลู่เมื่อได้ยินว่า เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามตน เวลาที่มาเข้าเฝ้าได้กลายมาเป็นหญิงสาว ที่หนีการแต่งงานไปเสียแล้ว ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
"หม่อมฉันมัวแต่ทำศึก จนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปจนถึงเพียงนี้แล้ว กระหม่อมจะตามหาองค์หญิงให้พบพะยะค่ะ"
แม่ทัพลู่พูดคุยกับฮ่องเต้อยู่อีกสักพักจึงได้ขอตัวออกไปเตรียมตัวเพื่อจะตามหาองค์หญิง
"หนีไปที่ไหนกันนะองค์หญิงน้อย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างคงจะโตเป็นสาว และงดงามมากเลยสินะ แต่เจ้าก็คงต้องแต่งงานกับผู้ที่เหมาะสมกับเจ้า "
แม่ทัพลู่เอ่ยกับตัวเองก่อนจะเดินทางกลับจวน
"ท่านพี่ลู่ถ้าข้าโตขึ้นข้าจะเป็นเจ้าสาวของท่านพี่ลู่ ท่านพี่รอข้านะ "
องค์หญิงหลินซูในวัยสิบขวบ วิ่งไล่ตามนายกองลู่เหยียนที่อยู่ในวัยสิบเก้าปี
"องค์หญิงเป็นองค์หญิงนะพะยะค่ะ จะอภิเษกกับกระหม่อมได้เช่นไร ฮ่องเต้ไม่ทรงยอมหรอกพะยะค่ะ อย่าพูดให้ใครได้ยินนะองค์หญิง "
หลินซูนั่งนึกถึงอดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว
"ป่านนี้แล้วพี่คงจะลืมข้าไปแล้วสินะ ก่อนนี้ยังได้พบหน้าของพี่บ้าง แต่พอพี่ได้เป็นรองแม่ทัพ นี้ก็เจ็ดปีแล้วที่พี่ออกไปทำศึก ข้าก็ไม่ได้พบพี่อีกเลยพี่รู้หรือไม่ว่าข้าถูกบังคับให้แต่งงาน ข้าไม่อยากแต่งงานกับผู้อื่นข้าอยากแต่งงานกับพี่เพียงผู้เดียว"
หลินซูเอ่ยอยู่เช่นนั้นจนหลับไป จวบจนเช้าของอีกวันตายายก็กลับมากระท่อมพร้อมกับทหาร ที่บอกว่ามาตามหาคนหายเมื่อสามปีก่อน ตายายจึงพามาพบกับหลินซู เพราะหลินซูบอกกับตายายว่าจำอะไรไม่ได้
สองตายายจึงคิดว่าอาจจะเป็นญาติของหลินซู ที่ตามหาหลินซูอยู่ และเมื่อทหารพบกับหลินซู ก็ทำความเคารพต่อองค์หญิงหลินซูทันที จนตายายเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าคนที่อาศัยอยู่กับตนถึงสามปีนั้น จะกลายเป็นองค์หญิงของแคว้นไปได้
"เชิญองค์หญิงเสด็จกลับพร้อมกระหม่อมเถอะพะยะค่ะ "
หลินซูเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พยายามที่จะไม่แสดงให้รู้ว่าตนนั้นจะหนีอีกครั้ง เมื่อเหล่าทหารเผลอหลินซูก็กระโดดขึ้นมาแล้วควบม้าหนีไปอีกครั้งทันที
หลินซูควบม้าออกมาจนพ้นป่าไผ่ ก็ได้พบกับทหารจำนวนหนึ่งที่พักอยู่ศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นคือคนที่หลินซู เคยนอนอยู่ข้างๆ แต่เพราะรีบหนีจึงไม่ได้สนใจ
ส่วนลู่เหยียนเมื่อเห็นว่ามีคนที่กำลังควบม้าออกมาก็รีบหันไปมอง จึงได้เห็นว่าเป็นหญิงสาว ที่ทำให้ตนนั้นไม่สามารถร่วมรักกับหญิงอื่นได้อีก เพราะเอาแต่นึกถึงใบหน้าของหญิงผู้นี้ จึงได้ควบม้าตามไป
" หยุดเดี๋ยวนี้นะข้าสั่งให้เจ้าหยุดคิดว่าจะหนีข้าพ้นเช่นนั้นหรือ"
"แล้วท่านเป็นอะไรทำไมต้องตามข้ามาจะตามข้ามาทำไมจะจับข้าไปอีกเช่นนั้นหรือ"
หลินซูตะโกนถามออกไป ทั้งสองควบม้ามาจนถึงทุ่งดอกหญ้า ลู่เหยียนเห็นว่าหญิงสาวนั้นก็ยังคงควบม้าต่อไปเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงควบม้าเข้าไปใกล้แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อน แล้วบังคับม้าของอีกคนให้หยุด หลินซูเมื่อตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มอีกครั้ง หหัวใจก็กระตุเต้นแรง ลู่เหยียนเมื่อบังคับม้าหยุดแล้วก็ลงจากม้าพร้อมกับดึงหญิงสาวลงมาด้วย
"เจ้าหนีอะไรมาบอกข้าได้ไหม แล้วทำไมเจ้าออกมาจากป่าไผ่ที่คนของข้าเข้าไป หรือว่าเจ้าหนีคนของข้า"
"ข้าจะหนีคนของท่านได้ยังไง ข้าไม่รู้จักกับท่านแล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมข้าจะต้องหนี "
หลินซูเอ่ยแก้ตัวทันทีเมื่อคิดได้ว่าคนตรงหน้า คงเป็นผู้ที่นำทหารมาพาตนกลับไปเป็นแน่
"ข้ากับท่านไม่ได้มีเหตุอันใดที่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ข้ามีสิ่งที่ข้าจะต้องทำ และข้าจะต้องรีบไปท่านช่วยปล่อยมือจากข้าได้หรือไม่ "
หลินซูคิดว่าคงไม่ดีแน่หากจะต้องอยู่ตรงนี้ต่อเพราะทหารกลุ่มนั้นจะต้องตามมา และคนตรงหน้าต้องรู้ว่าตนนั้นเป็นใคร
"ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีธุระสำคัญอันใด ข้าจะทำสิ่งใดก็ไม่ใครมาห้ามได้ และข้ามีเรื่องที่จะให้เจ้าต้องรับผิดชอบ "
หลินซูจ้องมองอีกคนด้วยสายตาไม่เข้าใจ จึงได้เอ่ยถามออกไป
"?มีอะไรที่ข้าจะต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเรื่องคืนนั้นก็เป็นพวกท่านที่บังคับข้าไป "
หลินซูเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ที่คนตรงหน้ากำลังทำให้ตนเสียเวลา
"เจ้าเป็นหญิงนางโลม เหตุใดจึงบอกว่าคนของข้าบังคับเจ้า"
"?นี่เจ้าบอกว่าข้าเป็นหญิงนางโลมเช่นนั้นหรือ ข้าเพียงแค่ไปส่งเหล้าให้ท่านตาของข้าที่หอนางโลม แต่คนของเจ้ากลับวางยาข้าแล้วพาข้ามาให้เจ้า"
ลู่เหยียนเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ทำให้ตกใจมาก ถึงแม้จะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะหักหาญน้ำใจใคร เพราะทุกครั้งก็มีแต่หญิงสาวที่มาเสนอตนทั้งนั้น แต่พ่อคิดว่าตนนั้นก็ไม่อาจปล่อยหญิงตรงหน้าไปได้ เพราะไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่สามารถร่วมรักกับผู้อื่นได้อีก ในใจนึกถึงแต่รสรักจากหญิงสาวตรงหน้านี้เท่านั้น
"ว่าเช่นไรท่านจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง ข้าไม่มีอะไรที่จะจ่ายให้ท่าน และไม่รู้ว่าจะต้องรับผิดชอบท่านอย่างไรเช่นกัน ควรเป็นข้าที่จะพูดเช่นนั้นไม่ใช่หรือ "
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบด้วยการไปอยู่กับข้า"
คำพูดที่ต้องการจะเหนี่ยวรั้งอีกคนไว้ ผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากปากของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยเอ่ยเช่นนี้กับใครมาก่อน
"นี่ท่านเป็นอะไรของท่าน ควรจะเป็นข้าที่เรียกร้องจากท่านไม่ใช่หรือ "
หลินซูไม่รู้จะต้องทำยังไงกับคนตรงหน้า มือเรียวนี้ก็แข็งแรงจนไม่สามารถที่จะดิ้นหลุดได้
"แล้วท่านจะพาข้าไปไหน ข้าไม่กลับไปที่กระท่อมอีกแล้ว แล้วอีกอย่างข้ากำลังจะไปหาคนรักของข้า ท่านไม่ควรที่จะยื้อข้าไว้ "
ลู่เหยียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยมือทันที แม้จะอยากดึงรั้งคนตรงหน้าเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจหักหาญใจของผู้อื่นได้ จึงจำต้องปล่อยหญิงสาวไป เมื่อเห็นว่าอีกคนปล่อยมือจึงกระโดดขึ้นม้าแล้วควบหนีไป
สายตาของแม่ทัพใหญ่มองดูคนตัวเล็กที่ควบม้าออกไป ทามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี ชั่งเป็นภาพที่ทำให้หัวใจ ของแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ห่อเหี่ยวลงได้ในทันที
" ตึก ตึก ทำไมหัวใจข้าถึงได้เต้นแรงเช่นนี้นะทำไมถึงรู้สึกวูบไหวเหมือนไม่มีแรง นี่ข้าเป็นอะไร "
แม่ทัพใหญ่ยังคงไม่เข้าใจความรู้สึกของตนที่เกิดขึ้น เพราะแม้จะอายุสมควรที่จะมีคนรักได้แล้ว แต่ก็อยู่แต่ในค่ายพบเจอก็แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น