บทที่ 1 กลับมาเจอ
บทที่ 1 กลับมาเจอ
ท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยมลพิษ และผู้คนมากมายที่ดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ร่างภายใต้เสื้อผ้าเก่า ๆ กำลังเบียดเสียดลงจากรถประจำทาง เดินทอดน่องไปตามฟุตบาทที่มีอุปกรณ์ก่อสร้างวางเกลื่อนกลาด จนมาหยุดตรงตึกสูงใจกลางกรุง เธอแหงนหน้าคอตั้งมองตึกทรงพิกเซล ซึ่งดึงดูดสายตาของคนสัญจรไปมาได้เป็นอย่างดี
พลั่ก!!
“ขอโทษค่ะ คือ..” ขยานี เดชากุล ก้มหัวโดยไม่มองว่าคนที่ตัวเองเดินชนเป็นใคร
“ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณ..” น้ำเสียงทุ้มน่าฟังหยุดเพียงเท่านั้น ขณะเห็นหน้าของอีกฝ่าย ลำคอแห้งผากเมื่อเขาจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร
“เอ่อ..” หญิงสาวยืนนิ่งราวถูกแช่แข็ง หัวใจเต้นระรัวราวกับกลองที่ถูกตีกระหน่ำ สองมือกระชับสายกระเป๋าใบเก่าไว้แน่น เมื่อสบตากับเจ้าของใบหน้าสมบูรณ์แบบ กลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก แต่พอตั้งสติได้เธอก็เมินหลบแล้วรีบเดินหนี
“เดี๋ยวสิ!” ชายหนุ่มร้องเรียกพร้อมวิ่งตาม ถือวิสาสะรั้งแขนของเธอไว้แต่ถูกสะบัดจนหลุด ก่อนหญิงสาวจะจ้ำอ้าวไปในฝูงชนที่เดินขวักไขว่ในเวลาเลิกงาน
“ขนม..ใช่ขนมหรือเปล่า?”
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อมีเสียงถามไล่ตามหลัง ก้อนเนื้อข้างซ้ายเหมือนถูกโจมตีด้วยแรงบีบมหาศาล เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด ไม่อยากเห็น ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น
“ขนม!”
ท่ามกลางผู้คนหนาแน่นของชั่วโมงเร่งด่วน ร่างเล็กเบียดเสียดไปตามทางฟุตบาท โดยไม่ยอมหยุดอย่างที่คนเรียกหวังให้ทำ
เพราะสภาพตอนนี้ไม่อำนวยให้เจอคนในอดีต ไม่ว่าใครเธอก็ไม่อยากให้เห็น เสื้อผ้าสีซีดที่ใส่ซ้ำมานานช่างน่าอับอาย เธอคงทนมองสายตาสมเพชเวทนาจากใครไม่ได้ มรสุมชีวิตที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะเจอ มันหนักหนาสาหัสเกินทน
ขยานีไม่เหลืออะไร ไม่มีแม้แต่สภาพความสวยงามให้เห็น
เท้าเล็ก ๆ เดินมาไกลจนจับทิศทางไม่ถูก หันมองด้านหลังก็พ่นลมหายใจโล่งอกที่บุคคลนั้นหายไปแล้ว ดวงตาหม่นเศร้าทอดมองยานพาหนะแออัดอย่างเลื่อนลอย เป็นเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้วสินะ
ถึงที่นั่นจะใหญ่โตโอ่อ่า มีสวนดอกไม้เต็มบริเวณ มีสระว่ายน้ำ มีครัวทันสมัย มีรถยนต์นับสิบคัน มีห้องนอนสุดหรูหลายห้อง ทว่าไม่ได้มีไว้สำหรับคนรับใช้อย่างเธอ คนที่ใครก็มองว่าเป็นกาฝาก ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร แม้กระทั่งญาติคนเดียวที่เหลืออยู่
“พอวันหยุดก็ไปแต๋ดแต๋จนมืดค่ำนะนังขนม ขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้ไง คนอื่นถึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าแก”
วารีเอ็ดหลานสาวที่กำลังไขกุญแจเข้าห้องพักคนงานในเวลาพลบค่ำ
“หนูไปซื้อของจำเป็นเลยใช้เวลาเลือกนานหน่อย ขอโทษนะคะที่กลับมาช่วยงานในครัวไม่ทัน” ขยานีฝืนยิ้มแล้วซ่อนถุงร้านสะดวกซื้อไว้ด้านหลัง
“รวยนักหรือไงถึงซื้อมาเยอะแยะ” วารีชักสีหน้าทำเสียงดุ ซึ่งขยานีชินแล้วกับน้ำเสียงและท่าทีของป้า
“หนูไม่ค่อยได้หยุด เลยซื้อมาตุนไว้”
ของจำเป็นที่ว่าคือผ้าอนามัย ครีมทาผิว และแป้งฝุ่น หนึ่งเดือนจะมีวันหยุดสามวัน ถ้าขยานีอยู่ห้องก็จะถูกป้าเรียกใช้ทั้งวันไม่เคยได้พักแบบจริงจัง เธอจึงแก้ปัญหาด้วยการไปเที่ยวเตร็ดเตร่ข้างนอกแทน แม้จะเสียดายเงินที่ต้องจ่ายค่ารถและค่าข้าว แต่มันคือทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
“ซื้ออะไรมามั้งล่ะ”
"เอ่อ.."
“หวงแดกเหรอไง?” คนถามมองของกินในถุงตาเป็นมัน
“หนูยังไม่กินข้าวเย็นเลยซื้อแซนด์วิชมา”
“มีกี่อัน”
“สองอันค่ะ”
“เอามาอันหนึ่งสิ ฉันกินไม่ค่อยอิ่ม ถูกไอ้พวกคนขับรถแย่งข้าวกินจนหมด แดกเก่งจนไม่เหลือข้าวติดหม้อสักเม็ด เอาเปรียบคนอื่นฉิบหาย”
วารีกระชากถุงในมือของขยานีมาหยิบแซนด์วิชไปหนึ่งชิ้นแล้วคืนให้ จากนั้นก็เดินเข้าห้องพักที่อยู่ติดกัน ไม่สนว่าหลานสาวจะมีท่าทีและสีหน้าเช่นไร
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลย เฮ้อ”
ขยานีก้มมองถุงในมือแล้วถอนหายใจ ปลงตกกับการถูกป้าเอาเปรียบ เงินเดือนครึ่งหนึ่งถูกหักเพื่อใช้หนี้ที่กู้จากเจ้านาย อีกส่วนก็ถูกวารีหักเก็บไว้ อ้างว่าเอาไปใช้หนี้นอกระบบ ที่ยืมมารักษาอาการป่วยของยายแย้ม จริงหรือเปล่าขยานีก็ไม่อาจรู้ได้
ยายแย้มเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุย่างสิบเก้า นับมาถึงตอนนี้ก็เกือบสี่ปีที่อยู่โดยปราศจากความสุข บ้านที่เคยมีถูกวารีขายทิ้ง เธอจึงไร้ที่อยู่และต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จากนั้นก็มาทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านนักธุรกิจผู้ร่ำรวย
ขยานีไม่ใช่สายเลือดเดียวกับวารี เธอเป็นเด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้งแล้วยายแย้มเอามาเลี้ยง ตั้งแต่เด็กจนโตยายแย้มและวารีก็รักและเอ็นดูมาตลอด จนกระทั่งยายแย้มล้มป่วย วารีก็เริ่มออกลาย
ป้าติดพนันออนไลน์จึงเริ่มดุด่าบ่อยขึ้น เล่นเสียก็ทุบตี หนักเข้าก็ทยอยขายของในบ้านจนไม่เหลือ สุดท้ายเมื่อยายแย้มเสียชีวิต วารีก็ขายบ้านและพาระเหเร่ร่อนไปทั่ว จนได้มาทำงานที่นี่
เธอมีเพียงวุฒิการศึกษาระดับม.ต้น จึงจำใจทำงานเพื่อแลกข้าวและเงินเดือนเพียงน้อยนิด หวังเก็บเงินสักก้อนแล้วออกไปอยู่ข้างนอก แต่ความหวังก็พังทลาย เมื่อวารีบังคับให้เซ็นสัญญากู้เงินแปดแสนจากเกษมซึ่งเป็นเจ้านาย ด้วยเหตุนี้จึงต้องทำงานงก ๆ ใช้หนี้ที่ไม่เคยเห็นตัวเงินสักสลึง
ก๊อก ๆ
ความคิดหยุดชะงักเมื่อมีเสียงเคาะประตู มือเล็กวางหวีที่กำลังใช้สางผมยาวสลวยลงบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนเดินไปเปิด ชะโงกหน้าออกไปไถ่ถาม
“มีอะไรเหรอคะพี่แจง”
จุ๊บแจงคือคนรับใช้ที่เคยสนิทสนม แต่มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น เลยทำให้อีกฝ่ายหมางเมินต่อเธอ ขยานีจึงเหมือนตัวคนเดียวท่ามกลางลูกจ้างนับสิบ ไม่มีใครคุยด้วย บางครั้งถูกแกล้งให้กินข้าวเปล่า ซึ่งเธอไม่เคยปริปากบ่น ต้องยอมอยู่เงียบ ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหา
“พรุ่งนี้มีซื้อของสดเพิ่มหลายอย่าง คงต้องไปตลาดเร็วหน่อย ตื่นตีสี่ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“ตอนเย็นคุณดาจะจัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ขนมห้ามไปแถวนั้นนะ เห็นว่ามีแขกมาหลายคน”
“ค่ะ” พยักหน้ารับทราบ
ขยานีเป็นคนเดียวที่ถูกห้ามไม่ให้ทำงานบนบ้านใหญ่ มีสิทธิ์อยู่แค่ในครัวและพื้นที่ในสวนเท่านั้น เวลาออกข้างนอกก็ต้องใช้ประตูเล็กด้านหลัง แล้วค่อยเดินอ้อมไปยังส่วนหน้า เนื่องจากศิตา วิทยาพรรณซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของเกษมไม่ชอบเธอ
ส่วนคุณดา หรือ ณดา วิทยาพรรณ คือลูกสาวคนเล็ก ที่เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อสามเดือนก่อน ไม่เคยพูดคุยกับเจ้านายคนนี้ เห็นแค่ไกล ๆ แต่กระนั้นก็รู้ว่าสวยมาก ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ใบหน้างามผ่อง แต่งตัวโก้หรูซึ่งต่างกับเธอลิบลับ
“กินข้าวเย็นยังล่ะ” จุ๊บแจงเอ่ยถาม ถึงจะมีเรื่องติดค้างในใจ แต่ก็อดห่วงคนเคยสนิทไม่ได้
“หนูกินแซนด์วิชไปแล้วค่ะ” คนตอบใจฟูเมื่อรับรู้ถึงความห่วงใย แม้จุ๊บแจงจะบึ้งตึงอยู่ก็ตาม
“ถ้าหิวก็ไปกินข้าวในครัวได้นะ พี่แอบแบ่งไว้ให้..วางอยู่ที่เดิม”
“หนูกินได้เหรอคะ”
“อืม”
“ขอบคุณค่ะพี่แจง”
ยกมือไหว้ก่อนยิ้มกว้าง จากนั้นก็รีบออกจากห้องมุ่งตรงไปยังครัวที่แยกออกจากตัวบ้านใหญ่ อย่างไรก็ต้องตุนพลังไว้ก่อน พรุ่งนี้น่าจะมีงานหนักรออยู่ มีงานเลี้ยงทีไรไม่เคยได้พัก ต้องคอยเป็นลูกมือช่วยทำงานสารพัด เหนื่อยแค่ไหนก็หลบก็อู้อย่างคนอื่นไม่ได้ เพราะเธอเป็นคนรับใช้ที่เจ้านายไม่ค่อยปลื้ม หากทำตัวขี้เกียจได้ถูกตบหน้าแหกแน่นอน