บทที่ 2 คาดหวังของเหลือ
วันต่อมา..
เป็นไปตามคาดที่ขยานีถูกเรียกใช้ไม่พัก ต้องเตรียมผัก ของสด และผลไม้ตั้งแต่เช้า ณดาจะจัดปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อน แขกคงมาร่วมงานเยอะพอควร เมนูอาหารหลายอย่างจึงถูกลิสต์มายังห้องครัว ทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่มก็คงจัดเต็มเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากจบงานหากอาหารเหล่านั้นเหลือ บรรดาคนรับใช้ก็พลอยมีลาภปาก เคยมีครั้งหนึ่งขยานีได้ลิ้มรสสเต๊กวากิว มันอร่อยสมคำร่ำลือ คนขาดแคลนเช่นเธอก็หวังเพียงเท่านี้ เพื่อชดเชยความเหน็ดเหนื่อยจากการเก็บกวาดหลังงานเลี้ยงจบลง
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำ สระว่ายน้ำถูกตกแต่งด้วยแสงไฟสวยงาม
แขกเหรื่อเริ่มทยอยมาบ้างแล้ว ขยานีแอบมองบรรยากาศอยู่หลังพุ่มไม้ เห็นผู้คนกำลังมีความสุขก็ยิ้มหยันปนเศร้า รู้สึกอิจฉาอยู่ลึก ๆ เธอเองก็อยากผ่อนคลายในงานรื่นเริงเช่นนี้บ้าง แต่คงไม่มีวาสนาได้แตะต้อง ชีวิตวัยรุ่นถูกปิดตายตั้งแต่ยายล้มป่วย จากนั้นก็มีเพียงความทุกข์และความเหนื่อยล้าเข้ามา
หดหู่จนต้องหันหลังเดินกลับห้องตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม ปิดประตูเสียงดังก่อนไปทิ้งตัวนอนบนฟูขนาดสามฟุต รู้สึกหมดแรงและหมดหวัง จนไม่อยากเห็นความสุขของคนรอบตัว อยากไปจากที่นี่ แต่เป็นไปได้ยากเหลือเกิน
คนอายุยี่สิบสอง มีวุฒิการศึกษาแค่ระดับม.ต้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ซ้ำยังมีหนี้ก้อนโตอีกแปดแสน ในขณะที่เงินเดือนแค่เก้าพันบาท ถูกเจ้านายหัก ถูกวารีริบไป เหลือใช้เพียงเดือนละสามพัน จะเอาปัญญาที่ไหนออกไปใช้ชีวิตข้างนอก
เคยหนีออกไปอยู่ที่อื่น แต่ถูกศิตาและป้าตามไปจิกหัวกลับมา ถูกตบจนหน้าบวม แจ้งตำรวจก็ไม่ได้ เพราะคนบ้านนี้ไม่ใช่แค่มีเงินแต่มีอิทธิพลล้นฟ้า จึงเป็นเหตุผลที่ไม่เคยคิดไปไหนอีก
อย่างหนึ่งเธอก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว สังคมทุกวันนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ข่าวข่มขืนมีให้เห็นเกือบทุกวัน จึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานใช้หนี้ให้หมด อย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กินฟรีสามมื้อ อิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ก็ยังดีกว่าอดตาย
คิดวกวนจนผล็อยหลับ มาสะดุ้งตื่นตอนถูกเคาะประตูเรียกให้ไปเก็บกวาด หญิงสาวงัวเงียขยี้ตา เพ่งมองนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืน รีบล้างหน้ารีบไปทำงาน ท้องร้องโครกครากเร่งให้ขยานีก้าวเท้าไปยังสระว่ายน้ำด้วยความรวดเร็ว
“หวังว่าจะมีของดี ๆ เหลืออยู่นะ”
พึมพำด้วยความหวัง ก่อนงานเริ่มเธอเล็งอาหารไว้หลายอย่าง อาจเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ข้าวที่กินไปช่วงเย็นจึงไม่อยู่ท้อง ตอนนี้จึงหิวจนไส้กิ่ว
พอมาถึงบริเวณงานก็ต้องหน้ามุ่ย ผิดหวังที่อาหารถูกคนอื่นเก็บไปจนหมด มีเพียงเศษเนื้อติดถาดไว้เท่านั้น จะเข้าไปกินในครัวก็คงไม่ได้ เพราะข้าวมื้อเย็นได้ถูกกินหมดเกลี้ยง ทางเลือกเดียวที่มีคืออาหารเหลือจากในงาน แต่ต้องผิดหวังเมื่อไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
“เฮ้อ หิวจัง” ขยานีถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงต้องกินเท่าที่มี ดีกว่าทนหิวทั้งคืน ไว้ค่อยตื่นแต่เช้าไปกินข้าวก่อนคนอื่น เพราะบ่อยครั้งที่ถูกคนงานผู้หญิงกลั่นแกล้งโดยให้กินข้าวเปล่า กินข้าวก้นหม้อก็เคย หรือไม่ก็เอากับข้าวไปซ่อน ถูกกระทำมานานจนชาชิน แต่ไม่เคยตอบโต้
เพราะอะไรน่ะหรือ..เพราะศิตาเกลียดเธอเข้าไส้ หากมีปากเสียงกับคนอื่น คนที่ถูกลงโทษก็ไม่พ้นเธออยู่ดี
“รีบเก็บสิ ยืนเหม่ออยู่ได้ จะกินแรงคนอื่นเหรอไงแม่คนงาม”
เสียงกระแนะกระแหนจากคนงานด้วยกัน ดึงให้กลับมาสนใจงานตรงหน้า ขยานีสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว จากนั้นก็เริ่มเก็บภาชนะบนโต๊ะ กวาดเศษเนื้อที่พอกินได้แยกไว้ต่างหาก เก็บแก้วแยกไปอีกส่วน ทำหน้าที่อย่างขมักเขม่นไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนทุกครั้ง
อีกด้าน..
“ดาเห็นโทรศัพท์ของผมไหมครับ”
พระเพลิง ขจรเกรียงไกร เอ่ยถามขณะนั่งอยู่ในห้องรับแขกหลังจากงานเลี้ยงจบลง
“ไม่เห็นเลยค่ะ” ณดามองซ้ายมองขวาแล้วส่ายหน้า
“ปกติผมจะเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง” ร่างสูงลุกยืน ตบ ๆ คลำ ๆ ไปทั่วบริเวณด้านหลังกางเกงของตัวเอง
“คุณเพลิงจำได้ไหมคะว่าใช้ล่าสุดตอนไหน”
“น่าจะตอนคุยกับเพื่อนของดาก่อนงานเลิก”
“งั้นคงอยู่ที่สระว่ายน้ำ เดี๋ยวดาไปดูให้ค่ะ”
“เหนียวตัวไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าดาไปอาบน้ำดีกว่าไหม เดี๋ยวผมไปหาเอง” เขารั้งข้อมือหญิงสาวเอาไว้
พระเพลิงมางานในฐานะว่าที่คู่หมั้นของณดา หลังจากกลับมาไทยไม่ถึงหนึ่งเดือน วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขามาบ้านของหญิงสาว ทั้งคู่พูดคุยทำความรู้จักผ่านการแนะนำของแม่เมื่อหนึ่งปีก่อน เธอเป็นคนที่แม่อยากได้เป็นลูกสะใภ้ เลยยุให้จีบตั้งแต่เรียนอยู่อเมริกา
เขาเรียนปริญญาเอก ส่วนณดาเรียนปริญญาโท ถึงอยู่คนละเมืองแต่ทั้งคู่ก็นัดเจอกันบ่อยครั้ง ทว่าความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า เพราะฝ่ายหญิงค่อนข้างไว้ตัว กระทั่งเธอเรียนจบแล้วกลับมาไทย ณดาถึงเริ่มเปิดใจ สุดท้ายก็ตกลงจะหมั้นหมาย ตามความต้องการของผู้ใหญ่ ซึ่งเขาไม่ขัดข้อง
ไม่เห็นด้วยกับการคลุมถุงชน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าณดาคือผู้หญิงที่น่าหลงใหล สวย ฐานะดี การศึกษาดี อาจมีหลายอย่างต้องปรับจูน แต่เขาไม่ติดหากคู่ชีวิตต้องเป็นเธอ ตัวเขาเองก็ครองตัวโสดมาสองปีเต็ม หากไม่นับผู้หญิงที่กินรายทาง ณดาคงเป็นคนเดียวที่คุยด้วยนานที่สุด
“ดีเหมือนกันค่ะ หาเจอแล้วก็อย่าเพิ่งกลับนะคะ ดาอยากคุยกับคุณต่อ ถ้าอยากดื่มเดี๋ยวดาสั่งให้เด็กยกไวน์มาให้”
“ผมจะกลับมานั่งรอ แต่ขอแค่น้ำเปล่าก็พอไม่อยากดื่มแล้วครับ”
“โอเคค่ะ งั้นดาขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
หลังจากณดาแยกตัวขึ้นไปชั้นบน ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กก็เดินไปยังสระว่ายน้ำ พอไปถึงก็กวาดตาไปทั่วบริเวณ ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อทุกอย่างถูกทำความสะอาดไปกว่าครึ่ง คนงานทยอยลำเลียงภาชนะไปด้านหลัง โต๊ะกับเก้าอี้ถูกเก็บไปเกือบหมด แบบนี้คงต้องให้ณดาถามคนงานให้อีกทีน่าจะดีกว่า
ร่างสูงกำลังจะเดินกลับ ในจังหวะเอี้ยวตัวหางตาก็เหลือบเห็นร่างเล็กที่นั่งพิงโต๊ะอยู่บนพื้น เธอกวาดอาหารที่เหลือติดก้นถาดรวมกัน ก่อนตักเศษเนื้อเล็ก ๆ เข้าปาก ใบหน้ารูปไข่เนียนใสผุดผาดยามต้องแสงไฟ เล่นเอาหัวใจของเขาหล่นวูบ
พระเพลิงยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่เปล่งเสียง ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่วิ่งตามอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อวาน จะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ซ้ำยังอยู่แค่ปลายจมูก ทอดมองการกระทำของเธอแล้วสะท้านในอก เหตุใดหญิงสาวจึงกินเศษเนื้อพวกนั้น ต้องยากจนข้นแค้นแค่ไหนกัน
มันกินได้จริงหรือ? หรือเขาเข้าใจผิด
ชายหนุ่มก้าวช้า ๆ ไปยังคนที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหาร เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เก็บกลั้นความรู้สึกมหาศาลที่ถาโถม สงสาร เห็นใจ สงสัยใคร่รู้ อยากหาอาหารดี ๆ ให้เธอกิน เขาอยากทำมันทั้งหมดในเวลานี้
“ขนม”
เสียงทุ้มลึกเล่นเอาร่างเล็กสะดุ้ง ช้อนในมือร่วงหล่นเมื่อเงยหน้ามองร่างสูงที่อยู่ใกล้แค่ก้าวเดียว เธอลนลานลุกยืนก่อนซ่อนถาดทรงสวยไว้ข้างหลัง ใบหน้าเห่อร้อนอับอายจนชาไปทั้งร่าง
“ทำไม?” พระเพลิงกลืนก้อนความรู้สึกลงคอ มองสำรวจร่างที่อยู่ในชุดเก่าสีซีด ก่อนเงยหน้าพ่นลมออกจากปาก พยายามตั้งสติและตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำ ๆ
เธอมาทำอะไรที่นี่?
“ขอตัวนะคะ”
“คุยกับพี่ก่อนสิ”
สรรพนามแทนตัวเองของเขาส่งผลให้ขยานีชะงักค้าง ภาพในอดีตหลั่งไหล กระบอกตาของเธอร้อนผ่าว หัวใจหน่วงหนึบจนจุก ทำไมสวรรค์ต้องส่งเขากลับมาเจอในสภาพทุเรศทุรังเช่นนี้ ถึงจะยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ได้แล้ว แต่ก็ไม่อยากให้เขาเห็นอยู่ดี
“ไม่ค่ะ ถ้าเจ้านายมาเจอฉันจะถูกตำหนิ” เดาว่าเขาคงเป็นหนึ่งในแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับเธอ กับณดาคงไม่เท่าไร แต่ถ้าศิตารู้ เธอจะถูกด่าทอหรือถูกทำโทษสถานหนัก
“พักอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
เขาไม่ฟังคำพูดของเธอจึงรีบวิ่งมาดักหน้า ความใกล้ชิดทำให้ร่างเล็กผงะก่อนถอยหลังเว้นระยะห่าง เธอยืนอยู่ในความมืด ส่วนเขายืนอยู่ในแสงสว่าง ขยานีจึงเผลอมองอย่างสำรวจ
พระเพลิงหล่อเหลาคมคายขึ้นมาก ดูภูมิฐาน รูปร่างสูงใหญ่กำยำกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า สิ่งที่เหมือนเดิมคงเป็นดวงตาคมที่คาดเดาอารมณ์ความรู้สึกได้ยาก
และถ้าให้เดา..ตอนนี้เขาคงกำลังสมเพชเวทนา สภาพอนาถาของเธออยู่แน่นอน
“ฉันเป็นคนงานที่นี่ค่ะ”
พระเพลิงหงุดหงิดกับสรรพนามที่เปลี่ยนไป แต่ถึงกระนั้นก็ถามย้ำอีกครั้ง “คนงาน?”
“คนรับใช้” เธอขยายความ
“แล้วป้าไปไหน ทำไมถึง..”
ยังพูดไม่จบหญิงสาวก็พูดสวนขึ้น
“ป้าวารีก็ทำงานอยู่ด้วยกัน”
“ขนมได้เรียนต่อหรือเปล่า”
“ถ้าคุณหมายถึงปริญญาตรี ฉันไม่ได้เรียนค่ะ”
แม้แต่ม.ปลายเธอก็เรียนไม่จบ ขยานีคิดอย่างเย้ยหยัน
".........." คนฟังนิ่งงันพูดไม่ออก ข่าวล่าสุดที่รู้เกี่ยวกับเธอคือหลังจากยายแย้มเสียชีวิต วารีก็ประกาศขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่คิดว่าขยานีจะมาเป็นคนรับใช้ ทั้งที่เป็นเด็กเรียนดี ฐานะไม่ได้แย่จนถึงขั้นไม่มีเงินเรียนต่อ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่..
“สบายดีไหมครับ?” ความจริงที่เพิ่งรับรู้ทำให้เขาหลุดถามคำถามโง่ ๆ ออกไป
"ก็อย่างที่เห็น"
"คือพี่ค่อนข้างตกใจที่เจอขนมที่นี่"
หากไม่เคยมีอะไรพิเศษต่อกันคงปล่อยผ่าน แต่เพราะระหว่างเขากับเธอไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาถึงขั้นที่ว่าเขาลืมไม่ลง
เธออร่อยหอมหวานเหมือนชื่อ นุ่มลิ้นละมุนมือยามสัมผัส ต่อให้ฟันหญิงมานับไม่ถ้วน แต่คนชื่อ 'ขนม' ยังคงเป็นนัมเบอร์วันเสมอ การกลับมาเจออีกครั้งจึงเป็นเรื่องช็อกที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“ขอตัวนะคะ ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ”
“ขอเบอร์หรือไม่ก็ไอดีไลน์ได้ไหม พวกเราคงต้องคุยกันมากกว่านี้”
ขยานีส่ายหน้า สายตาเวทนาจากเขาทำให้ความรู้สึกด้อยค่าโหมกระหน่ำ ริมฝีปากอวบอิ่มสั่นน้อย ๆ กลั้นน้ำตาจนหายใจติดขัดไปหมด
“งั้นเอานามบัตรพี่ไปแล้วกัน อยากให้ช่วยอะไรก็ติดต่อได้ตลอด”
“ไม่ค่ะ!” เธอปฏิเสธเสียงแข็งก่อนถอยห่างมากขึ้น แต่เขาถือวิสาสะยัดใส่กระเป๋าเสื้อที่เธอใส่ ก่อนหมุนตัวเดินไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนงานบางส่วนกลับมาเก็บโต๊ะกับเก้าอี้ที่เหลือ
ระหว่างเดินกลับเข้าไปในบ้าน พระเพลิงเกิดคำถามมากมาย ขยานีมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร ช่วงอายุเท่านี้เธอควรเรียนอยู่ปีสี่ไม่ใช่หรือ ใบหน้าที่เคยสดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม บัดนี้มีเพียงความหม่นเศร้า ดวงตาแห้งแล้งดูสิ้นหวัง รอยยิ้มมุมปากที่เหมือนเย้ยหยันนั่นอีก
เขาควรหาต้นสายปลายเหตุเรื่องราวชีวิตของเธอดีไหม หรือปล่อยให้เธอดำเนินชีวิตในแบบของตัวเอง เพราะคงไม่ใช่คนที่เธอจะไว้ใจเหมือนเมื่อก่อน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร เขาจะทนนิ่งเฉยได้จริงหรือ ในเมื่อขยานีเป็นคนงานในบ้านของว่าที่คู่หมั้น ซึ่งต้องไปมาหาสู่บ่อยขึ้นนับจากนี้..