เลย์ลาที่ตกใจพยายามขยับใบหน้าหมายจะถอยออกมา แต่ทว่า
พรึบ
เธอกลับถูกฟาริคจับท้ายทอยไว้แน่น ก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะถูกถอนจูบออกมา
"ถอยทำไม ไหนบอกว่าจะเป็นเด็กดีและเชื่อฟังฉันทุกอย่าง" ฟาริคเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่นัยน์ตาของเขาจับจ้องไปที่เธอด้วยความยากจะคาดเดา
"ละ เลย์ลา"
เธอเอ่ยพูดอย่างตะกุกตะกักแต่หลังจากนั้นไม่ถึงสามสิบวินาทีมาเฟียหนุ่มก็เหมือนจะกลายเป็นคนความอดทนต่ำคว้าคนตัวเล็กตรงหน้าเข้ามาประกบจูบอีกครั้ง
"อื้อ…!" แถมรอบนี้เขายังสอดแทรกลิ้นร้อนของตัวเองเข้าไปในโพรงปากเล็กของเธอ
เลย์ลาหลับตาปี๋เมื่อถูกมาเฟียหนุ่มตักตวงความหวานในโพรงปากของเธออย่างดูดดื่ม ริมฝีปากของเธอถูกเขาดูดเม้มสลับกับสอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไป
เขากลืนกินเธอราวกับสัตว์ป่าที่กำลังหื่นกระหาย เสียงจูบดังก้องไปทั่วห้องทำงานใหญ่ ความต้องการพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
มาเฟียหนุ่มถอนจูบและก้มลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนแสนยั่วยวน
จริงอยู่ที่มาเฟียหนุ่มอายุยี่สิบเก้าปีแบบเขาไม่เคยมีอะไรลึกซึ้งกับใครมาก่อน ไม่เคยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลยและทำไม่เป็น เขาก็เพียงแค่ยังไม่เจอใครที่ถูกใจและดึงดูดจนถึงขั้นรู้สึกว่าอยากทำสิ่งนั้นด้วย
แต่ตอนนี้เหมือนจะเจอแล้วหรือเปล่านะ
"ดะ เดี๋ยวก่อนค่ะ"
"คุณฟาริคคะ อื้อ! พะ พอก่อนได้มั้ยคะ"
"เลย์ลายังต้องกลับไปทำงาน" ฟาริคที่ได้ยินถอนจูบออกมาจากคอเล็ก ก่อนจะเงยหน้าไปพูดกับคนที่นั่งคร่อมตักตัวเองอยู่ว่า
"ลืมไปแล้วเหรอว่าเจ้าของที่นี่คือคนที่เธอกำลังนั่งตักอยู่"
เมื่อชายเจ้าเล่ห์ที่สวมหน้ากากเรียบนิ่งไว้อยู่เลื่อนสายตาของตัวเองขึ้นไปมองคนตัวเล็กที่นั่งคร่อมตักของเขา ตอนนี้เขาก็เห็นว่าเธอกำลังทำหน้าแตกตื่นและประหม่าอย่างชัดเจน ฟาริคที่มองท่าทีของเธอรู้สึกชอบใจอย่างบอกไม่ถูก
ดวงตาคมยังคงใช้สายตาคมของตัวเองเชยชมไปที่ใบหน้าเลย์ลา ภายในใจของเขาก็เอ่ยชมคนตัวเล็กตรงหน้าในใจ เลย์ลาเป็นผู้หญิงที่สวยมากจริง ๆ ใบหน้าของเธอดูจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย แถมแก้มชมพูระเรื่อนั้นมันก็ชวนสัมผัสซะเหลือเกิน
ไวกว่าความคิด ฟาริคขยับใบหน้าหล่อของตัวเองเข้าไปหาเธออีกครั้งและใช้ปลายจมูกโด่งของตัวเองสัมผัสแก้มนุ่มของเลย์ลาเป็นสิ่งแรก
จากนั้นก็ตามด้วยริมฝีปากของเขาที่ค่อย ๆ ฝากรอยจูบไว้ที่แก้มนิ่มของเลย์ลา เลย์ลาพยายามเบือนหน้าหนีเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือเล็กของตัวเองที่วางอยู่บนบ่าแกร่งค่อย ๆ ดันเขาออกจากตัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่แรงของเลย์ลาที่พยายามใช้ดันชายหนุ่มร่างกำยำนั้นมันแทบจะน้อยนิดจนเขาไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
"คะ คุณฟาริค" เสียงเล็กของเลย์ลาเอ่ยออกมาอย่างพยายามห้ามปรามแต่ฟาริคดูไม่ได้สนใจอะไรแถมเขายังรู้สึกอยากให้เธอพูดกับเขาเรื่อย ๆ คำใดก็ได้ เพราะเขาอยากได้ยินเสียงของเธอ
"คุณฟาริคคะ ฟังเลย์ลาก่อน" เลย์ลาพูดขึ้นพร้อมกับเบือนหน้าตัวเองออก
เธอเงยหน้าหนีเขาแต่ทว่ามันกลับทำให้ฟาริคสะดุดตาเข้ากับคอขาวเนียนของเธอ ฟาริคไม่รอช้าขยับใบหน้าของตัวเองเข้าไปทิ้งรอยจูบไว้ที่ ซอกคอของเลย์ลาทันที เลย์ลาที่รับรู้ได้ถึงสัมผัสพวกนั้นก็เม้มปากแน่นและพูดอะไรไม่ออก
"พูดมาสิ ฉันรอฟังอยู่" ฟาริคเอ่ยด้วยน้ำเสียงชวนขนลุกอยู่ที่ซอกคอของเลย์ลา
"อ๊ะ! บะ แบบนี้ไม่ได้จะฟังกันสักหน่อย"
"ฟังอยู่ ปากไม่ว่าง แต่หูฉันตั้งใจฟังเสียงของเธออย่างดีเลยนะ"
ว่าจบฟาริคก็ใช้มือแกร่งของตัวเองดึงเลย์ลาเข้ามากดจูบอีก มือแกร่งก็เริ่มบีบเคล้นเข้าที่เอวบางสลับกับเริ่มลูบไปมา
อื้อ!
เสียงจูบยังคงดังไปทั่วห้องทำงานใหญ่สลับกับเสียงครางเบา ๆ ที่ดังออกมาจากลำคอของเลย์ลา
ก๊อก! ก๊อก!
แต่ทว่าเหตุการณ์ราวกับเดจาวูได้เกิดขึ้น เพราะเสียงประตูดังขึ้นอย่างขัดจังหวะ แต่ถึงแบบนั้นฟาริคก็ยังไม่ยอมผละจูบออกจากปากเลย์ลา มีเพียงเลย์ลาที่ตอนนี้กำลังเบิกตากว้างเธอพลางคิดในใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอออกสักที
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้งทำให้เลย์ลาเริ่มแสดงท่าทีเลิ่กลั่กมากกว่าเดิม จูบก็นานขึ้นจนเธอเริ่มหายใจไม่ออก
"อื้อ" เลย์ลาส่งเสียงออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ก่อนจะใช้มือเรียวตีไปที่ไหล่ของฟาริคเบา ๆ หมายต้องการจะให้เขาปล่อยเธอออก
"แฮ่ก ๆ หะ หายใจไม่ออก" ทันทีที่เรียวปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระเลย์ลาก็พูดออกมาพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ฟาริคจ้องมองเลย์ลาพร้อมกับหลุบมองรอยแดงที่คอของเธอด้วยแววตาที่ชอบและเริ่มหลงใหลเธอขึ้นเรื่อย ๆ อย่างปิดไว้ไม่อยู่
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูรอบที่สามดังขึ้นทำให้เลย์ลาได้สติรีบดีดตัวลุกออกจากตักแกร่ง ฟาริคเองก็เลื่อนสายตาออกจากเลย์ลาและมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าฉายออกมาถึงความหงุดหงิด ในหัวก็พลางนึกคาดโทษคนที่มาเคาะประตู
ลูกน้องคนไหนมาเคาะกูจะไล่ออกทันทีเลย และก่อนจะไล่ออก กูจะจับมันเข้าห้องแบล็กแล้วกระทืบมันด้วย ตายคาตีนกูแน่
"ละ เลย์ลา ไปเปิดให้ค่ะ" ว่าจบเลย์ลาก็รีบจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยและสาวเท้าเดินไปเปิดประตู
แอ๊ดดด
"เคาะจนมือจะหัก เป็นเหี้ยไรไม่เปิด…?" เคลวินพูดขึ้นทันทีขณะที่ประตูถูกเปิดออก แต่ทว่าเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่ง แทนที่จะเป็นฟาริคเพื่อนของเขา
"ออกไปก่อน" เสียงฟาริคดังขึ้นทำให้เลย์ลารีบสาวเท้าเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปสบตาฟาริค เธอรู้ว่ามันเสียมารยาทแต่ใครจะมองไหว เพิ่งโดนคนที่เคารพดึงไปจูบอย่างหื่นกระหาย โดนทั้งปากโดนทั้งคอ
ตึกตึก
พอเลย์ลาเดินออกไปเคลวินและภูวินทร์ก็สาวเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของฟาริค
"เด็กคนเมื่อกี้ใคร?" เคลวินเอ่ยถามสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
"แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม"
"ไอ้ฟาริค อย่าบอกนะว่ามึงไปทรงเลี้ยงเด็กซะแล้ว ถ้ากูไม่มาเห็นกับตาคงไม่เชื่อ"
"เพ้อเจ้อ"
"ไปทรงปากหนักซะด้วย" เคลวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าติดกวน
"เข้าประเด็นหน่อย พวกมึงพากันมาที่นี่ทำไม"
"มีเรื่องสำคัญที่ต้องเข้ามาคุยกับมึงที่นี่" เคลวินเอ่ยตอบ ท่าทีติดเล่นของเขาก็หายไปเหลือเพียงสีหน้านิ่งขรึม
"เรื่องสำคัญ?"
"ของที่เอาเข้ามาล็อตล่าสุดถูกปล้นไประหว่างทาง" ภูวินทร์เอ่ยพูดแทนเคลวินเพราะรู้ว่าเคลวินกำลังเริ่มหัวเสีย เพราะมูลค่าของที่ถูกปล้นไปมันเสียหายไม่ใช่น้อย
ของที่ภูวินทร์หมายถึงคือ ‘อาวุธ’ ซึ่งฟาริค ภูวินทร์และเคลวินมีธุรกิจสำคัญที่ทำร่วมกันมาหลายปี พวกเขาค้าขายอาวุธแบบครบครันแต่มันเป็นการค้าขายที่ถูกกฎหมาย ซึ่งลูกค้าในประเทศหลัก ๆ จะเป็นกองทัพ ส่วนลูกค้าหลักอีกกลุ่มจะอยู่ที่ต่างประเทศเพราะที่นั่นค้าขายอาวุธกันเป็นเรื่องปกติและถูกกฎหมาย
"รู้ตัวมั้ยว่าใคร" ฟาริคเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่ต่าง
"ยังหาตัวไม่ได้ แต่คิดว่าใหญ่พอสมควร" เคลวินเอ่ยตอบกลับฟาริคไป
"เดี๋ยวจัดการต่อเอง"
"มึงรู้เหรอว่าใครทำ" ภูวินทร์เอ่ยถามต่อ
"ไม่รู้ แต่ไม่ต้องห่วงจะจัดการที่เหลือเอง"
"ได้ คนของมึงคงทำงานได้เร็วกว่า เพราะงั้นฝากด้วย ถ้าฝั่งกูมีอะไรคืบหน้ากูจะมาบอก" เคลวินเอ่ยบอกกับฟาริคด้วยสีหน้าไว้วางใจ
เขามั่นใจในฝีมือการทำงานของเพื่อนตัวเองที่ได้ทำงานร่วมกันหลายปี
"อืม" ฟาริคขานตอบกลับเพื่อนตัวเองไปในลำคอเบา ๆ แต่ทว่าเมื่อคุยเรื่องสำคัญจบ สายตาหยอกล้อของเพื่อนเขาก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
"เสร็จแล้วก็กลับไป กูมีงานต้องทำ"
"อย่าโหมงานหนักแล้วกัน อะ อุปกรณ์ทำงาน เอาไว้ให้มึงใช้" เคลวินดันตัวลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะควักซองถุงยางไซซ์ห้าสิบแปดในกระเป๋าออกมาโยนให้ฟาริคพร้อมกับเอ่ยขึ้นต่อว่า
"พวกเราไซซ์เดียวกันอยู่แล้วนี่" เคลวินพูดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มทำเอาฟาริคถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"ป้องกันไว้ดีที่สุด เมื่อกี้เหมือนจะยังเด็กอยู่เลย อย่าหาทำลายอนาคตเด็ก" ภูวินทร์จึงไม่รอช้ารีบพูดขึ้นต่อด้วยสีหน้าติดกวนไม่ต่าง
"คำนั้นควรเอาไว้ใช้กับพวกมึงมากกว่า ท่องบอกตัวเองเวลาส่องกระจกเยอะ ๆ"
"อย่ามาพูดเหมือนมึงไม่เหี้ย" เคลวินสวนกลับไปทันควัน
"อย่างน้อยกูก็ไม่มั่วเด็กแบบมึงแล้วกัน"
"ทำไงได้วะ เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย" ไหล่แกร่งของเคลวินยกขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับแสยะยิ้ม
ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับคำพูดของฟาริคเลยแม้แต่น้อย พูดไม่ได้ เถียงก็ไม่ออก มันเรื่องจริงทั้งนั้น
ว่าจบสองเท้าหนักของทั้งเคลวินและภูวินทร์ก็สาวเท้าเดินออกไป ซึ่งฟาริคก็ดันตัวลุกขึ้นและเดินสาวเท้าตามหลังเพื่อนตัวเองออกไปด้านนอกเช่นกัน
"ไปไหน?" เพื่อนทั้งสองคนชะงักหันกลับมามอง แต่เป็นภูวินทร์ที่เอ่ยถาม
"ตรวจงาน" พูดจบฟาริคก็เดินแยกไปทางโซนบาร์ ส่วนเคลวินกับภูวินทร์ก็แยกเดินออกไปทางออกฝั่งลานจอดรถ
ซึ่งขณะที่เขากำลังสาวเท้าเดินเข้าไปในโซนบาร์ ฟาริคก็ได้ยินเสียงโวยวายของชายคนหนึ่งพร้อมกับเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
"บริการแขกยังไงถึงปล่อยให้พนักงานเสิร์ฟมาทำร้ายแขกวีไอพีแบบกูวะ!"
"เพราะคุณมาลวนลามหนูก่อนต่างหาก!"