งานสวดอภิธรรมศพของนักธุรกิจใหญ่อย่างคุณสามารถนักธุรกิจผลิตและส่งออกเม็ดพลาสติกรายใหญ่ของประเทศมีแขกร่วมงานเป็นจำนวนมาก
หลายคนจับจ้องที่ลูกสาวคนเดียวซึ่งมีข่าวลือหนาหูว่าตั้งครรภ์ตั้งแต่เรียนยังไม่จบและหนีไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ
เมื่อเมลดาเดินเข้ามากับมารดาและลูกชายคนในศาลาก็พากันมองด้วยความสนใจ เสียงซุบซิบนินทาดังมาเข้าหูอยู่เรื่อยๆ แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจเพราะคิดแล้วว่าสักวันก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้
“ไม่เป็นไรนะ อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นเลย” อรอินทร์ จับมือเพื่อนไว้เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
“เรื่องที่เขาพูดมันก็คือความจริงนะอิ๊นซ์”
“แต่มันผ่านมานานแล้วนะโมเดล”
“แต่ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนความจริงมันก็คือความจริง ซึ่งเราคงไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับมันเท่านั่น”
“โมเดลเข้มแข็งขึ้นมากจริงๆ เสียพ่อไปแล้ว พอกลับมายังเจอคำนินทาถ้าเป็นเราคงแย่แน่” เดนิสาจับมืออีกข้างของเมลดาเพื่อให้กำลังใจ
“เราก็แย่นะเดซี่ แต่เราจะร้องไห้ให้ใครเห็นไม่ได้ เรามีทั้งแม่และลูกที่ต้องดูแล ถ้าเราจะอ่อนแออีกคนก็คงไม่ดีเท่าไหร่”
ระหว่างที่เมลดากำลังคุยกับเพื่อนอยู่นั้นแต่แขกก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีมาวินและมารดาของเธอคอยต้อนรับแขกอยู่ด้านหน้าเพราะเมลดาไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ จึงได้แต่นั่งดูแลบอสตันอยู่ด้านในศาลาเท่านั้น
“โมเดลกับพี่วินยังติดต่อกันอีกเหรอ” อรอินทร์เคยได้ข่าวมาบ้างว่าเพื่อนแอบคบกันแต่ตอนนั้นเมลดาก็ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้คบกับรุ่นพี่หนุ่มคนนั้น
“เราก็ติดต่อกันตลอดถ้าไม่มีพี่วินเราคงแย่”
“เขาคบกับโมเดลนานแล้วเหรอ” เดนิสาถามเพราะเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“เปล่าหรอกเดซี่ เรากับพี่วินไม่ได้คบกัน”
“แต่ดูเขาสนิทสนมกับแม่ของโมเดลมากเลยนะแล้วยังจะคอยต้อนรับแขกอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าภาพอีก ถ้าเขาไม่คิดอะไรกับโมเดลเขาจะทำแบบนั้นทำไมล่ะ”
“ไปกันใหญ่แล้วอิ๊นซ์”
“เราก็พูดไปตามที่เห็นน่ะคนอื่นก็คงคิดไม่ต่างจากเรา”
“โมเดลตอนเราไปเข้าห้องน้ำเราก็ได้ยินคนเขาพูดกันด้วยว่าพี่วินคือพ่อของน้องบอสตันเพราะทั้งสองคนหน้าตาดูคล้ายกันมากแล้วตอนที่พี่วินเขาก็ยังมาช่วยงานอีก” เดนิสาบอกถึงสิ่งที่ตนเองได้ยินมาให้เพื่อนรู้
“แล้วตอนนี้พี่วินก็เข้ามาช่วยงานคุณพ่อของโมเดลที่บริษัทด้วยเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” อรอินทร์ยังไม่หายสงสัยเธอ กำลังสับสนว่าใครกันแน่ที่เป็นพ่อของน้องบอสตัน
“เราไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เลยเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่วิน แต่ถ้าเขาไม่พูดอิ๊นซ์กับเดซี่ก็ยังคงสงสัยเหมือนกับคนอื่น”
“ถ้าโมเดลลำบากใจ ก็ไม่ต้องเล่าให้เราสองคนฟังก็ได้นะ” อรอินทร์ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากใจถึงแม้ว่าตัวเองอยากจะรู้ความจริงมากแค่ไหนก็ตาม
“เรื่องที่เราจะบอกมันเป็นความลับเดซี่กับอิ๊นซ์ห้ามบอกใครนะ”
อรอินทร์กับเดนิสาพยักหน้าพร้อมกันทันทีด้วยความอยากรู้
“เรากับพี่วินเป็นพี่น้องกัน”
“อะไรนะ /อะไรนะ”
“เบาๆ สิ”
“ก็คนมันตกใจนี่ โมเดลเสียใจจนเพ้อไปหรือกำลังสับสนอะไรหรือเปล่า” เดนิสามมองหน้าเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่โมเดล” อรอินทร์ตั้งสติได้ก็ถามต่อ
เมลดาเล่าให้เพื่อนฟังว่าตนเองกับมาวินมีพ่อคนเดียวกัน แต่ที่ต้องปิดบังคนอื่นก็เพราะมารดาของมาวินเป็นภรรยาน้อยจึงไม่อยากให้คนอื่นรู้เพราะกลัวมาวินจะถูกคนอื่นมองไม่ดี
“แต่พี่วินกับแม่ของโมเดลก็ดูสนิทกับพี่วินมากนะ”
“พี่เขามาช่วยงานที่บริษัทตั้งแต่เรียนจบและคอยดูแลพ่อกับแม่ตอนที่เราไม่อยู่”
“แบบนี้ไงคนอื่นเข้าใจผิด”
“จริงๆ แม่ก็อยากบอกทุกคนนะว่าพี่วินคือลูกของพ่ออีกคน”
“น่าสงสารเหมือนกันนะ ที่เขาช่วยงานคนอื่นก็คิดว่าเพราะทำเพื่อเจ้านายทั้งที่ตนเองกำลังทำหน้าที่ลูก” เดนิสาพูดอย่างเห็นใจ
“แต่เขาก็ดูเข้มแข็งมากเหมือนกันนะ ต้องคอยต้อนรับแขกในฐานะลูกจ้างทั้งที่ตัวเองก็คือลูกแท้ๆ” แท้อรอินทร์รู้สึกเห็นใจพี่ชายของเพื่อนมาก
“พี่วินคือพี่ชายที่ดีมาก ถ้าเราไม่มีพี่วินก็คงแย่ เราไม่เคยเห็นว่าพี่วินเป็นคนอื่นเลย เรารู้สึกว่าพี่วินเหมือนลูกชายอีกคนของแม่”
“แล้วแม่เขาล่ะมาร่วมงานหรือเปล่า”
“คนนั้นไง ที่นั่งอยู่ซ้ายสุดของโต๊ะ”
“ดูเขาเศร้าเหมือนกันนะ” เดนิสามองหญิงวัยกลางคนที่มีนัยน์ตาเศร้าแล้วก็รู้สึกเห็นใจ
“ทุกคนเศร้ามากเพราะพ่อจากไปอย่างกะทันหันแต่หมอบอกว่าพ่อไม่ได้ทรมานอะไรเลยท่านเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ” เมลดาเล่าให้เพื่อนฟังด้วยเสียงที่สั่นเครือ
อรอินทร์กับเดนิสาต้องช่วยกันปลอบอีกพักใหญ่กว่าเมลดาจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
“แม่ครับ แม่ครับผมอยากไปเข้าห้องน้ำ” บอสตันที่นั่งดูการ์ตูนอยู่สะกิดมารดาและกระซิบเบาๆ เพราะตกลงกันมาจากที่บ้านแล้วว่าการมาร่วมงานคืนนี้จะต้องนั่งให้เรียบร้อยที่สุดเพราะคุณตาจะคอยดูอยู่ไกลๆ
“ได้สิ บอสตันเก็บแท็บเล็ตและถอดหูฟังออกก่อนนะ แล้วแม่จะพาไปเข้าห้องน้ำ” เมื่อลูกชายกำลังเก็บของเมลดาก็หันมาบอกเพื่อนทั้งสองคนว่าตนเองจะพาบอสตันไปเข้าห้องน้ำ
“ให้เราไปเป็นเพื่อนไหมโมเดล”
“ไม่เป็นไรหรอกเดซี่ ใกล้แค่นี้เอง”
เมลดาพาบอสตันมายังห้องน้ำซึ่งตอนนี้มีคนต่อคิวอยู่ก่อนหน้านี้แล้วหนึ่งคน
“แม่ครับ ผมโตแล้ว ผมเข้าห้องน้ำเองได้”
“หนูต่อคิวแล้วเข้าห้องน้ำคนเดียวได้จริงๆ ใช่ไหมบอสตัน”
“ครับแม่”
“ถ้ายังงั้นแม่ออกไปยืนรอข้างนอกนะครับ เสร็จแล้วหนูก็ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วเดินตามออกไปได้ไหม แม่จะรออยู่ข้างนอก”
“ได้ครับ”
เมลดาออกมายืนรอลูกชายด้านนอก ระหว่างนั้นก็มองไปทั่วบริเวณวัดซึ่งนอกจากจะมีงานสวดอภิธรรมศพของบิดาของตนเองศาลาอีกด้านก็มีงานของคนอื่นด้วย
เมื่อมองไปเรื่อยๆ สายตาของเธอก็สะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายกับคนรักเก่าของเธอมาก แล้วพอผู้ชายคนนั้นหันกลับมาหญิงสาวก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงไทย แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่เพราะบริเวณที่เมลดายืนอยู่นั้นไม่ได้สว่างมาก เธอรีบเดินไปหน้าห้องน้ำแล้วเรียกลูกชายเพราะอยากจะรีบออกไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะมาใช้ห้องน้ำซึ่งมีแค่จุดที่เธอยืนอยู่จุดเดียวเท่านั้น
“บอสตันเสร็จหรือยังลูก”
“เสร็จแล้วครับแม่ ผมกำลังล้างมืออยู่ครับ”
พอลูกชายเดินออกมาจากห้องน้ำเมลดาก็รีบพากลับไปยังศาลาที่จัดงานศพอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินมาถึงพระก็เริ่มสวดพอดีทำให้เมลดายังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้อรอินทร์กับเดนิสาฟังว่าตนเองไปถึงกับใครมา
หลังจากพระสวดอภิธรรมเสร็จเธอกับเพื่อนก็ออกไปยืนส่งแขกที่กำลังจะกลับโดยไม่ลืมที่จะมอบขนมและน้ำผลไม้ให้แขกติดมือกลับบ้านไปด้วย