“เดี๋ยวฉันจะไปที่บ้านโน้นสักหน่อย นายอยู่ทำงานที่นี่แล้วกันนะแมท”
คีธเดินออกมาบอกคนสนิทของตนเองซึ่งกำลังนั่งสะสางงานกองโตอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของห้องสูทสุดหรูบนชั้นสูงสุดของโรงแรมแห่งนี้
แมทธิวได้ยินอย่างนั้นก็ละมือจากงานเพื่อเตรียมตัวไปกับคีธด้วย เขามิอาจปล่อยให้เจ้านายพ้นไปจากสายตาได้ เพราะถึงอย่างไรคีธก็เป็นคนสำคัญของฟีนิกส์ที่เขาได้รับคำสั่งจากนายใหญ่ที่เป็นคุณตาและคุณผู้หญิงมารดาของชายหนุ่มให้ดูแลทายาทคนเดียวของแมคไกวร์เป็นอย่างดี
ทว่าคีธกลับโบกมือห้ามแมทธิเมื่อเขาลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องหรอกแมท เดี๋ยวฉันไปคนเดียวได้ ถ้าห่วงยังไงค่อยให้ 'เด็ก' ของนายตามห่างๆ แล้วกัน”
เด็กที่ว่าก็คือเหล่าบอดี้การ์ดฝีมือดีของแมทธิว ที่นอกจากจะเป็นผู้ช่วยแล้วเจ้าตัวยังควบตำแหน่งหัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยประจำตัวทายาทคนเดียวของเครือฟีนิกส์อีกด้วย
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่น่า ทำงานของนายต่อไปซะ”
เมื่อได้ยินเจ้านายสั่งเสียงดุแกมส่งสายตาดุปรามมาเป็นเชิงบอกว่าห้ามเถียง แมทธิวจึงได้แต่รับคำอย่างจำนนน
“ครับ”
“ดี แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบกลับมาทำงานแล้วกัน นายก็ช่วยเตรียมไว้ให้ด้วยเลยนะ” คีธสั่งก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคเอาใจคนดูแล “แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา”
พูดจบนายแห่งฟีนิกส์ก็เดินออกไปจากห้องพัก ทิ้งให้แมทธิวรีบโทรศัพท์ไปสั่งพวกการ์ดที่ติดตามกันมาให้ตาม ‘นาย’ ออกไปไม่ให้คลาดสายตา ทว่าต้องไม่ใกล้ชิดเกินไปจนนายรู้สึกรำคาญ
แมทธิวออกจะไม่เข้าใจ ทั้งที่นายเกลียด ‘คนพวกนั้น’ อย่างกับอะไร แต่ทำไมถึงชอบไปพบและไปให้คนพวกนั้นดูถูกและเหยียบย่ำเอานะ
ธุรกิจในเครือฟีนิกส์ ทั้งกาสิโนเอย ทั้งโรงแรมสารพัดสาขาทั่วโลกเอย ทรัพย์สินมากว่าของคนพวกนั้นแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมว่าคนพวกนั้นถึงชอบทำเหมือนกับว่านายจะเข้าไปแย่งสมบัติ ขณะเดียวกันก็ชอบเรียกตัวไปพบเสมอ
เขาไม่เข้าใจพวกคนไทย พวกถือตัวว่าเชื้อสายผู้ดีจริงๆ เลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก ‘ภัทรอนันต์’
…
บ้านภัทรอนันต์
คีธมองตัวอักษรภาษาไทยสีทองเล่นหางสวยงามนิ่งด้วยความ
รู้สึกคับแน่นในอกอย่างบอกไม่ถูก มีความรู้สึกเกือบๆ กึ่งจะเป็นโหยหาและชิงชังปะปนกัน ขณะที่กำลังรอให้คนรับใช้ผู้ชายเปิดประตูรั้วออกจนสุด คีธสลัดความรู้สึกบ้านั่นทิ้ง กลับมาดำรงตนเป็นมิสเตอร์แมคไกวร์ ดังเช่นที่เคยเป็นอีกครั้งก่อนจะเหยียบคันเร่งรถสปอร์ตคันหรูแล้วเร่งเข้าไปภายในอาณาเขตของบ้าน...ไม่สิต้องเรียกว่า คฤหาสน์ภัทรอนันต์อย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่าเสียงเร่งเครื่องยนต์และเสียงเบรกสนั่นหวั่นไหวนั้นจะรบกวนใครบ้าง
ชายหนุ่มก้าวลงไปจากรถช้าๆ ท่ามกลางสายตาของบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่กันพร้อมหน้าเพราะต่างละมือจากสิ่งที่กำลังทำเพื่อออกมาดูว่าใครช่างมารบกวนความสงบในบ้านหลังนี้ และเมื่อเห็นว่าเป็นเขาทุกคนต่างก็ทำสีหน้าอันหลากหลาย บางคนส่ายหน้าระอาไม่สนใจแล้วเดินจากไป บางคนก็บ่น แต่มีเพียงประมุขของบ้านและผู้เป็นภรรยาตลอดจนลูกชายคนเดียวของพวกเขายืนมองชายหนุ่มด้วยสายตาชิงชัง ไม่ชอบใจ
โดยเฉพาะคุณหญิงวิมาดานั้น แทบจะมองไอ้ลูกครึ่งลูกติดสามีด้วยสายตารังเกียจ เถื่อน! ถ่อย! ไร้สกุลที่สุด! ช่างไม่มีใครสอนมารยาทดีๆ ให้ไอ้เด็กเลวทรามนี่เลย! หล่อนปรายตามองคีธแล้วจึงหันไปพูดกับสามีตนเอง
“ลูกคุณมาแล้วไง เป็นไงล่ะ มาถึงก็สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านตลอดเลย จัดการกันเองแล้วกัน ฉันไม่ขอยุ่ง” หล่อนพูดจบก็สะบัดหน้าหนีไปทันที แต่ไม่ลืมชวนลูกชายคนเดียวเข้าบ้าน “ไปเข้าบ้านกันดีกว่าธิป อยู่ตรงนี้ก็พานแต่จะอารมณ์เสีย”
หล่อนเอ่ยชวน ‘คณาธิป’ ลูกชายคนเดียวของหล่อนกับนายคีรีให้เข้าไปในบ้าน ทิ้งสามีและลูกเลี้ยงไว้ที่ตรงนั้น
คณาธิปตวัดตามองคีธด้วยสายตาเยาะหยัน เขามองอีกฝ่ายอย่างดูถูกก่อนจะเดินตามแม่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดทักทายผู้ที่มีสายเลือดร่วมกันเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คีธต้องสนใจ เพราะบุคคลเดียวที่ทำให้คนที่ถูกตราหน้าว่าไร้หัวใจ เลือดเย็นเช่นเขา เดือดร้อนและรุ่มร้อนในอกเสมอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าและมองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจที่เขาแน่ใจว่ามันมีความชิงชังปะปนอยู่
ใช่สิ...เขามันไอ้ลูกครึ่งนอกคอก มารยาททรามนี่นะ!
แถมแม่ของเขา...ต่อให้รวยแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงอเมริกันที่อีกฝ่ายนึกรังเกียจ แต่ก็ยอมมีสัมพันธ์ด้วยเพราะความเหงาเท่านั้น!