แม่...โง่เองที่หลงรักผู้ชายไร้หัวใจอย่างคีรี ภัทรอนันต์!
คีธนึกในใจอย่างเยาะหยัน มองสบตาคมดุที่มีประกายแข็งกร้าวของนายคีรีไม่ยอมหลบ ซ้ำยังมีแววท้าทายปะปนในสายตาของเขาเสียด้วย
“อย่ามองหน้าฉันอย่างนี้นะคีรินทร์ แกนี่มันมารยาทเลวลงเข้าไปทุกที อายุขนาดนี้แล้วแต่ยิ่งโตก็ยิ่งเลว ฉันคิดผิดจริงๆ ที่ไม่ดึงตัวแกมาเลี้ยงดูเอง ปล่อยให้แม่แกเลี้ยงก็มีแต่จะเลวลงเข้าไปทุกที”
คีธ หรือ คีรินทร์ตามที่นายคีรีเรียกนั้นตวัดสายตามองผู้พูดด้วยความไม่พึงพอใจสูงสุด คำกระทบกระเทียบเหล่านี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขาร้อนรนไปเสียทุกครั้ง
แม่กับตาไม่เคยผิด...ถ้าจะผิดก็เพราะผู้ชายตรงหน้าเขาคนเดียว!
แต่คีธไม่ได้พูดออกมา ชายหนุ่มทำเพียงกระตุกยิ้มเยาะหยันมุมปาก ทว่ามิอาจปกปิดประกายตาแข็งกร้าวได้ในยามตอบโต้ให้อีกฝ่ายสะอึกพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่
“ก็จะเอาอะไรกับไอ้ลูกครึ่งที่มีสายเลือดพวกป่าเถื่อน แถมพ่อมันก็ยังทิ้งล่ะครับ แต่เอาเถอะต่อให้มารยาทผมจะแย่แค่ไหน ถ้ามีเงินที่ไหนก็อ้าแขนรับทั้งนั้นแหละ”
ชายหนุ่มพูดแกมยิ้มเยาะหยันกับหนึ่งในความจริงของมวลมนุษย์ที่ไม่ว่าชนชาติไหนก็ใช้ได้เสมอ
เงินคือพระเจ้า
“ฉันไม่อยากจะเถียงกับพวกหัวแข็งอย่างแกแล้วคีรินทร์ ตามไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้ ฉันมีเรื่องจะพูดกับแก...เรื่องสำคัญซะด้วย”
คีธไม่พูดอะไร ทว่าค่อยๆ เดินตามคีรีเข้าไปด้วยมาดของนายใหญ่แห่งฟีนิกส์ที่คนเป็นบิดาได้แต่เขม่นมองอย่างไม่ชอบใจ และนึกขัดใจกับกริยาที่เรียกว่าเลวทรามของลูกชายคนโตซึ่งเกิดจในสมัยตนเองไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
…
คีธ แมคไกวร์นั้น จริงๆ แล้วเจ้าตัวมีชื่อและนามสกุลไทยว่า คีรินทร์ ภัทรอนันต์
...ภัทรอนันต์ที่เขาเกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!
เขารู้...ตนเองเกิดจากความผิดพลาดของผู้ชายตรงหน้า แต่แรก
คีธไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไม่เคยอยู่ นานๆ ทีมาเจอกันก็มองราวกับจับผิด จนเมื่อเกือบสิบห้าปีที่แล้ว สมัยเขาเป็นวัยรุ่น คีธตัดสินใจขอแม่และตากลับมาเมืองไทยและมาอาศัยอยู่กับบิดาซึ่งเรียกตัวเขาให้เข้ามาลองใช้ชีวิตซัมเมอร์ที่เมืองไทย
และที่นี่เอง...ที่หล่อหลอมให้เด็กชายผู้อ้างว้างและแข็งกร้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเช่นเขากลายเป็นคนไร้หัวใจมากกว่าเดิม
คีธได้ค้นพบถึงความชิงชังที่คนตระกูลนี้มีให้แก่เขาและแม่ พร้อมถ้อยคำประนามหยามเหยียดมากมาย และสิ่งสุดท้ายที่เขาได้รู้ก่อนจะเดินทางกลับสหรัฐฯ ก็คือ คนพวกนี้กลัวเขาจะเข้ามาแย่งสมบัติอันมหาศาลของตนเอง
...สงสัยคีรีคงไม่เคยปริปากบอกญาติๆ ตนเองว่า นังฝรั่งที่ดูถูกกันนั้นแท้จริงร่ำรวยมหาศาลกว่าพวกภัทรอนันต์เป็นสิบเท่า!
คีธได้แต่เก็บความชิงชังนี้เอาไว้ และไม่คิดมาเหยียบเมืองไทยอีก จนเมื่อเร็วๆ นี้เขามีธุระต้องจัดการและข่าวของคีรีก็ไวพอสมควรเช่นกัน จึงได้เรียกตัวลูกชายคนโตให้มาหาทุกครั้งในยามที่คีธมาเมืองไทย
แม้รู้ทั้งรู้ว่าการมาเยือนบ้านนี้ไม่ต่างอะไรกับเอาเพลิงไฟพยาบาทมาสุมใจ แต่เขาก็ยังมา…มาเพื่อให้คนพวกนี้เร่าร้อนด้วยไฟของความชิงชังดังเช่นที่เขาเคยเป็น...และยังคงเป็นอยู่!
คราวนี้...คีธมั่นใจ เขาจะเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง!
และพวกภัทรอนันต์จะต้องเจ็บเหมือนที่กรีดหัวใจเขาเมื่อสิบห้าปีก่อน!
…
“นั่งลงซะคีรินทร์ แกจะยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ไปอีกนานแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ ที่โน่นไม่เห็นมัมกับตาจะว่าอะไรแบบนี้”
ทั้งที่รู้ดี แต่เขาก็เลือกที่จะตอบกวนโทสะผู้เป็นบิดา แล้วก็สมใจเมื่อคีรีปรายตามองด้วยสายตาดุจัดและตำหนิชัดแจ้ง
“ที่โน้นแกจะทำยังไงมันก็เรื่องของแก แต่แกต้องเคารพกฏของที่นี่! นั่งลงซะอย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำซาก”
คีธยักไหล่ แล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่ง ชายหนุ่มตวัดเท้านั่งไขว่ห้างแล้วเริ่มกระดิกเท้าปรายตามองบิดาที่ถลึงตาดุใส่กับท่าทางราวกับกุ๊ย...คำพูดที่เคยได้ยินเสมอแทบทุกครั้งที่เจอหน้า แต่แปลก...คราวนี้คีรีแค่มองแต่ไม่ได้ด่าออกมาสักคำ
“ฉันอยากให้แกตอบคำถามฉัน...แกไปยุ่งกับพวกพีระนันท์ทำไม”
“หืม...” คำถามของผู้เป็นบิดาทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างเสแสร้งจนเห็นได้ชัด ทว่านั่นกลบประกายสาสมใจในดวงตาสีเทาคู่นั้นไม่มิด “คุณจะถามผมแค่นี้นี่นะคุณคีรี” คีธย้อนถามกลับเสียงสูง และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ยั่วโทสะชายตรงหน้าได้เสมอก็คือการที่เขาเลิกเรียกผู้ชายคนนี้ว่าพ่อ...ตั้งแต่สิบห้าปีก่อนนี้กระมัง