“มิสเตอร์แมคไกวร์ไม่พอใจค่ะ” หญิงสาวตอบตามตรงโดยไม่คิดปิดบัง “เขาบอกว่าจะเข้าไปคุยเรื่องนี้กับคุณหญิงอีกทีพรุ่งนี้ค่ะ”
คุณหญิงการะเกดได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจเท่าใดนัก จึงรีบเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดทันที
“แล้วเขาตกลงรับแกหรือเปล่า”
คราวนี้การะบุหนิงหลบตาผู้สูงวัยกว่า ส่ายหน้าช้าๆ พลางตอบเสียงแผ่วเบา “ไม่ค่ะ”
สิ้นคำพูดฝ่ามือของคุณหญิงการะเกดก็ตวัดลงบนใบหน้าของหล่อนอย่างรวดเร็ว
เพี๊ยะ!
“แกนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ เลยดอกแก้ว!” คุณหญิงการะเกดบริภาษใส่หน้าลูกเลี้ยงสาวอย่างไม่พอใจอย่างหนัก “สมกับที่เกิดมาเป็นกาฝากจริงๆ โง่!”
ตอนท้ายหล่อนอดไม่ได้ เอานิ้วจิ้มลงบนขมับอีกฝ่ายแรงๆ จนการะบุหนิงหน้าซีดเผือด รู้สึกอายคนที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นพอดี จึงได้แต่หลบสายตาผู้คนมองปลายเท้าตนเองเท่านั้น และเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราวกับจะขอความเมตตา
“คุณหญิง...”
ฝ่ายคุณหญิงการะเกดเอง พอเห็นว่ามีคนเดินผ่านมาก็หยุดด่าทอหญิงสาว ก่อนจะพูดกับการะบุหนิงเสียงขุ่นจัดและไม่วายเหน็บแนมให้คนฟังรู้สึกเจ็บช้ำไปทั้งหัวใจ
“ไป! อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ กลับ!”
ฝ่ายคีธนั้น เมื่อเดินหนีออกมาก่อนก็ตรงกลับเข้าไปในงาน หมายจะตามหาแมทธิวซึ่งคาดว่าคงวนเวียนอยู่ภายในงานนี้ นายใหญ่แห่งฟีนิกส์นึกอยากจะเล่นงานอีกฝ่ายนัก แมทธิวก็รู้ว่าคนที่เขาต้องการเจอในวันนี้คือกาสะลอง พอเห็นพวกพีระนันท์เล่นลูกไม้สกปรกแบบนี้ แทนที่จะรีบแจ้งให้เขาทราบ แต่นอกจากจะไม่บอกแล้ว ยังเท่ากับร่วมมือกับฝ่ายนั้นส่งตัวการะบุหนิงมาให้เขา คิดแล้วมันน่าหงุดหงิดนัก!
แต่ว่าคีธเดินสอดส่ายสายตาตามหาตัวลูกน้องคนสนิทได้ไม่เท่าไหร่ ชายผู้ที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีก็เดินตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง ก้าวปราดดักหน้าไม่ให้เขาคิดเดินหนีไปได้
“แกคิดจะทำอะไรคีรินทร์”
น้ำเสียงถามกราดเกรี้ยวนั้นไม่ได้ทำให้คีธโมโหเลยสักนิดเดียว ผิดคาด...ชายหนุ่มกลับแย้มยิ้มเสียจนผู้เข้ามาทักรู้สึกขัดใจยิ่งนัก
“อ้อ...สวัสดีครับคุณคีรี” คีธทักทายอีกฝ่ายกลับสีหน้าระรื่น ไม่เหลือเค้าหงุดหงิดโมโหเลยสักนิดเดียว “ขอโทษด้วยที่ไม่ได้เข้าไปทักทายตั้งแต่แรก” ชายหนุ่มเอ่ยราวกับว่าเขารู้สึกผิด แต่คนฟังอย่างคีรีนั้นรู้ดี
แก่ใจว่ามันไม่ใช่ ความหมายที่อยู่ในประโยคนั้นก็คือ ถึงเห็นก็ไม่คิดจะทักเพราะไม่เคยอยู่ในสายตา!
“เลิกล้อเล่นโยกโย้ซะทีคีรินทร์” เขาบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดฉุนเฉียว ข่าวลือที่ได้ลอยเข้าหูให้ได้ยินตลอดเวลาที่อยู่ในงานเลี้ยงการกุศลนี้ทำเอาใจเขาร้อนเป็นไฟ “แล้วบอกฉันว่าแกคิดจะเล่นอะไรกันแน่?”
เห็นท่าทางร้อนรนของคีรีแล้วคีธก็รู้สึกสนุก ชายหนุ่มยักไหล่กวนๆ ในยามที่ตอบคำถามของคีรี
“ผมไม่ได้คิดอะไรนี่ ก็แค่เห็นตากับมัมบ่นๆ ว่าอยากอุ้มหลาน ก็เลยคิดหาผู้หญิงดีๆ สักคนแต่งงานด้วยกันแค่นั้น”
ได้ยินคำตอบอย่างนั้นคีรีก็ตาลุกวาวด้วยความโกรธเคือง แต่ก็สู้พยายามสะกดใจเอาไว้ ก่อนจะเสนอขึ้นมาว่า “ถ้าอยากได้แบบนั้นฉันแนะนำให้แกได้ แต่ทำไมแกต้องไปยุ่งกับพีระนันท์”
คีธคลี่ยิ้มสุภาพ ที่เขารู้ดีว่ายั่วโทสะอีกฝ่ายได้มากมายเพียงใดส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะบอกคีรีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผมไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภัทรอนันต์นะ
“คีรินทร์!” คีรีตวาดเรียกชื่อคนเป็นลูกเสียงดัง ประโยคนั้นเหมือนเหล็กร้อนนาบลงกลางใจเขาให้รู้สึกทุรนทุราย
ไม่เคยมีใครเลยที่จะสามารถยั่วโมโหเขาให้โกรธได้ง่ายดายดังเช่น
ที่คีรินทร์ทำ สำหรับคีรีเองนั้น...รู้ทั้งรู้ว่าคีรินทร์ไม่เคยมองว่าเขาเป็นพ่อ แต่สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกย่อมตัดไม่ขาด แม้จะโกรธอีกฝ่ายมากเพียงไรแต่เขาก็ไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องของคีรินทร์ได้เลย
และคราวนี้...คีรินทร์ไปรู้มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ว่าตระกูลภัทรอนันต์กับพีระนันท์ไม่ถูกกัน จึงได้หันมาใช้วิธีนี้หวังจะยั่วให้เขาโมโหจนตาย! แต่...อย่านึกว่าเขาจะยอมง่ายๆ คราวนี้คีรินทร์เล่นแรงเกินไป...
เขาไม่มีวันยอมให้สายเลือดของภัทรอนันต์ไปยุ่งเกี่ยวกับพวก
พีระนันท์โดยเด็ดขาด!
“เอาน่า” เห็นท่าทางคล้ายกับจะระเบิดอยู่รอมร่อของคีรีแล้วคีธก็รู้สึกว่าวันนี้คุ้มค่าหน่อยๆ ที่ได้เจอกับพวกพีระนันท์ในวันนี้ “ถ้าคุณเครียดมาก คุณจะแก่เร็วนะ อีกอย่าง...เดี๋ยวไม่มีแรงไปงานแต่งงานของผมนะ” เขายั่วเย้าอีกฝ่ายอย่างสนุกปากจนคีรีต้องตวาดปรามซ้ำเสียงดังลั่นเป็นครั้งที่สอง
“คีรินทร์!”