หมอหลิวเองก็ตกใจเช่นกัน แต่เขามิได้ร้องออกมาเช่นหลงจู๊ มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบโสมขึ้นมาตรวจสอบดู
ไม่ผิดเป็นโสมห้าร้อยปีแน่ อีกทั้งยังสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“สามพันตำลึงทอง เจ้าเห็นเป็นเช่นใด” เขาเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“ดีล...เอ่อ ได้เจ้าค่ะ” นางเผลอหลุดปากพูดเช่นในภพก่อนออกมา หลังจากที่นางตกลงการค้าได้อย่างพอใจ นางมักจะเอ่ยออกมา
หมอหลิวจ้องมองใบหน้าของเยี่ยนอิงนิ่ง ด้วยคำพูดที่นางเอ่ยออกมา เขาไม่เข้าใจว่าหมายความเช่นใด แต่พอจะรู้ว่านางพอใจกับจำนวนที่เขายื่นให้ไม่น้อย
เยี่ยนอิงเมื่อเห็นตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงทองใบหน้าของนางก็ยิ้มกว้างขึ้น
“กลิ่นเงินมันหอมเจ้าว่าไหม” เยี่ยนอิงอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นมาหอมเสียหลายฟอด
“เหอะ ก้อนทองของข้ามีตั้งเยอะ เพียงเท่านี้จะนับเป็นอันใด” เสี่ยวไป๋กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“ท่านลุงตู้ ท่านพอจะรู้ร้านแลกเงินไหมเจ้าคะ ข้าต้องการจะแลกเงินมาใช้ซื้อของ” คงไม่ดีหากนางจะยื่นตัวเงินห้าสิบตำลึงทองเพียงแค่ต้องการซื้อข้าวสาร
“ได้ ๆ ข้าจะพาเจ้าไป” ลุงตู้มือยังสั่นไม่หาย เขากอดอกไม่แน่น ด้วยกลัวจะมีคนมาแย่งเงินห้าร้อยห้าสิบตำลึงทองไป
“เมื่อครู่เจ้าไม่บอกเล่าว่าต้องการตำลึงเงินกับเงินอิแปะด้วย” หลงจู๊เอ่ยออกมา ด้วยอยากผูกสัมพันธ์กับเยี่ยนอิงไว้ ต่อไปหากนางมีโสมอีกจะได้นำมาขายให้
“ได้รึเจ้าคะ” ก็นางไม่รู้
“ได้ ๆ เจ้าต้องการเท่าใด ข้าจะไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้”
เยี่ยนอิงจึงส่งตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงทอง ให้แลกเป็นตำลึงเงินกับเหรียญอิแปะมาให้นาง
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
หมอหลิวที่ยังอยู่ในห้องด้วย เขาก็มองเยี่ยนอิงอย่างแปลกใจ ด้วยนางรู้คิดคำนวณออกมาได้อย่างรวดเร็ว ที่ต้องการเหรียญทองแดงเท่าใด แล้วก้อนตำลึงเงินกี่ตำลึง น้อยครั้งนักที่จะเห็นสตรีมีความรู้เช่นนี้
“เจ้าเคยร่ำเรียนมาด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้า เมื่อครั้งที่นางยังมีชีวิตอยู่เคยสอนข้ากับน้องชาย”
เหมือนนางจะลืมไปว่าซานเซินหาหมออยู่ “ข้าขอตัวไปดูน้องชายก่อนเจ้าค่ะ” จึงได้รีบร้อนลุกออกไปด้านนอก เหลือเพียงลุงตู้ที่อยู่รอเงินที่หลงจู๊กำลังไปแลกมาให้นาง
“แล้วบิดาของนางเล่า” หมอหลิวเอ่ยถามอย่างสนใจ ทำไมถึงคนที่พานางมามิใช่บิดาแต่กลับเป็นลุงข้างบ้านแทน
“อิงเออร์ กับเซินเออร์ น่าสงสารนักขอรับ บิดามารดาถูกโจรป่าสังหารเมื่อครั้งเดินทางไปตามญาติที่เมืองหลวง”
“อืม...ตามหาญาติเช่นนั้นรึ นางมิใช่คนเป่ยหนานรึ”
“อู๋หยวนบิดานางเป็นคนเป่ยหนาน แต่มารดาฟู่ม่าน ไม่รู้ว่านางเป็นคนที่ใด ตอนที่อาหยวนพามาที่หมู่บ้าน นางก็ไม่มีความทรงจำเดิมเหลือแล้วขอรับ” ลุงตู้ได้แต่ถอนหายใจออกมา ด้วยสงสารโชคชะตาของสองพี่น้อง
“เช่นนั้นรึ” หมอหลิวมองไปที่ประตูที่เยี่ยนอิงเพิ่งจะเดินออกไป “แล้วเหตุใด นางถึงไม่ได้ใช้แซ่อู๋เช่นบิดาของนาง” เรื่องนี้ทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
“เห้อออ พูดไปเรื่องก็ยาวนัก หลังจากที่บิดามารดาตายลง สองพี่น้องก็ถูกท่านลุงรับไปเลี้ยงดู อย่าได้พูดถึงความลำบากที่เกิดขึ้น เพียงแค่เรื่องที่อู๋หย่งจะขายนางให้หอพนันก็พอ ย่าหู ย่าของนางกับชาวบ้านทนเห็นอิงเออร์เข้าไปเป็นคณิกาไม่ได้ จึงได้เรียกร้องให้ผู้นำหมู่บ้านทำเรื่องตัดขาดสองพี่น้องกับตระกูลอู๋เสีย ดูข้าจะพูดมากเกินไปแล้ว” ลุงตู้เหมือนจะรู้ตัวว่าได้เอ่ยเล่าเรื่องมากเกินไป
“ยังดีที่ท่านย่าของนาง รวมทั้งชาวบ้านยังเมตตานางอยู่” หมอหลิวถอนหายใจออกมา
ด้วยท่าทางของเยี่ยนอิงนางไม่น่าจะยอมคนได้ เหตุใดถึงต้องปล่อยให้ตนเองและน้องชายถูกรังแกเสียหลายปี
เยี่ยนอิงเดินออกมาจากห้องก็เจอป้าตู้ กำลังเปิดประตูห้องหมอเว่ยออกมา
“เซินเออร์เป็นเช่นใดบ้างเจ้าคะ”
“โรคเก่า เจ้าก็รู้ดี พอถูกฝนเข้าอาการก็เลยยิ่งทรุดไปกันใหญ่ หมอเว่ยต้มยาให้กินเรียบร้อยแล้ว ให้เซินเออร์นอนพักสักครู่แล้วค่อยเดินทางกลับหมู่บ้านกัน” ป้าตู้เอ่ยบอกรายละเอียดจนเรียบร้อยแล้ว นางก็ลากเยี่ยนอิงไปหาที่ลับตาคน
“เป็นเช่นใด ขายได้เท่าใด” ด้วยรู้ดีว่าอย่างไรก็ขายได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าใด
“ห้าร้อยห้าสิบตำลึงทองเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงกระซิบเสียงเบาข้างหูแล้ว แต่ป้าตู้นางดันร้องออกมาเสียงดัง
"ห้าร้อยห้าสิบตำลึงทอง!!!” นางหงายหลังจะเป็นลมเสียให้ได้
“ท่านป้า ท่านจะเสียงดังทำไมเจ้าคะ อยากให้ผู้อื่นรู้รึว่าท่านมีเงินมาก” เยี่ยนอิงดึงรั้งตัวป้าตู้ไว้
“ข้าจะเป็นลม เงินตำลึงทองเคยพบเห็นเสียที่ไหน” ปีหนึ่ง นางทำไร่ สามีรับจ้างขับเกวียนส่งชาวบ้าน ในเรือนยังรวมกันได้ไม่ถึงห้าสิบตำลึงเงินเลย
“ท่านต้องทำตัวให้ชินแล้วท่านป้า ท่านร่ำรวยเสียแล้ว ท่านดีขึ้นหรือยังข้าจะไปดูเซินเออร์เสียหน่อย”
“ไป ไปเถิด” นางโบกมือให้เยี่ยนอิงปล่อยตัวของนาง
ภายในห้องตรวจของหมอเว่ย ซานเซินนอนหลับอยู่ที่เตียงด้านใน เยี่ยนอิงจึงเดินเข้าไปคลำหัวของเขา เมื่อเห็นว่าไข้ลดแล้วนางจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ซานเซินคลอดก่อนกำหนด ร่างกายของเขาจึงไม่แข็งแรงเช่นเด็กในวัยเดียวกัน ต่อให้บิดามารดาจะดูแลดีมากเพียงใด พอทั้งสองสิ้นใจ ตัวเขาก็ถูกคนตระกูลอู๋ใช้แรงงานจนทรุดลงอีกครั้ง
ด้วยไม่เคยหาหมอให้เป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง อาการของซานเซินจึงสามวันดีสี่วันไข้มาตลอด
“น้องชายเจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว ปล่อยให้นอนพักสักครู่ค่อยพากลับก็แล้วกัน” หมอหลิวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงเยี่ยนอิง
“เจ้าค่ะ” นางหันไปตอบรับเบาๆ ก่อนจะช่วยห่มผ้าให้ซานเซิน
“แม่นางฟู่ ข้าขอคุยด้วยได้หรือไม่”
“หากจะถามเรื่องโสมข้าเก็บได้จากบนเขาในหมู่บ้านเจ้าค่ะ”
“มิใช่ อย่างไรเจ้าก็ต้องรอน้องชายตื่น ไปสนทนาที่ห้องทำงานของข้าเถิด”
เยี่ยนอิงหันไปมองสบตาหมอหลิว ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ นางวางตัวเสี่ยวไป๋ลงบนเตียงข้างซานเซิน เพื่อให้มันอยู่ดูแลซานเซิน แล้วเดินตามหมอหลิวไปที่ห้องทำงานของเขา
ระหว่างที่ออกมาจากห้องผู้ป่วย ก็พบลุงตู้กับป้าตู้กำลังกระซิบพูดคุยกันอยู่
“อิงเออร์ ข้าจะไปซื้อของกลับหมู่บ้านเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่” ป้าตู้คิดว่าเยี่ยนอิงอยากจะรอน้องชายของนางตื่นก่อน
“ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านหมอหลิว ท่านป้าไปซื้อก่อนได้เลยเจ้าค่ะประเดี๋ยวข้าค่อยไปซื้อที่หลัง”
“ได้ ๆ เช่นนั้นข้าไปก่อนเล่า” ป้าตู้และลุงตู้รีบพากันออกไปจากโรงหมอ ทั้งสองยังต้องไปที่ร้านฝากเงินด้วย
ภายในห้องทำงานของหมอหลิว เรียบง่ายกว่าที่เยี่ยนอิงคิด ด้านในไม่เหมือนกับห้องของหมอเว่ย ที่มีตู้เก็บยาอยู่ด้วย ห้องของหมอหลิวมีเพียงโต๊ะทำงาน และโต๊ะรับแขกเท่านั้น
“เชิญนั่งก่อน” เขาผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ท่านมีสิ่งใดก็พูดเถิดเจ้าค่ะ ข้ายังต้องไปซื้อของเพื่อกลับหมู่บ้านอีก”
“มารดาของเจ้า นามว่าฟู่ม่านใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมา คงเป็นลุงตู้ที่บอกเล่าเรื่องราวของนางกับหมอหลิว
“นางเป็นคนที่ใดเจ้ารู้หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าไร้ความทรงจำเดิม แต่เมื่อสามปีก่อน ท่านพ่อได้ข่าวจากสหายที่อยู่เมืองหลวง ว่ามีตระกูลฟู่อยู่ จึงได้พาท่านแม่ออกเดินทางไปตรวจสอบว่าใช่ครอบครัวของนางหรือไม่ แต่ก็ต้องโชคร้ายเสียก่อน”
แววตาของเยี่ยนอิงสั่นไหววูบหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะร่างของนางยังหลงเหลือความรู้สึกของฟู่เยี่ยนอิง ที่คิดถึงผู้เป็นบิดามารดา