สี่ปีผ่านไป
ฌาริยาเรียนจบในระดับปริญญาตรีสาขาการบัญชี ในขณะที่ลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นจนอายุได้ห้าขวบ ลูกสาวของเธอเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ฉลาดตามวัย และที่สำคัญหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตา เด็กหญิงเฌอริตาเป็นที่รักและเอ็นดูของชาวบ้านละแวกนี้ รวมถึงลูกค้าขนมหวานด้วย เพราะเด็กหญิงเฌอริตาชอบไปช่วยยายนิภาขายขนม เด็กน้อย ช่างพูดช่างจา จนผู้คนที่พบเห็นต่างก็อดที่จะเอ็นดูไม่ได้
แต่ในความโชคดีที่ฌาริยามีลูกสาวที่น่ารัก กลับมีความโชคร้ายเกิดขึ้น นั่นคือ ลูกสาวของเธอถูกตรวจพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วเมื่อหนึ่งปีก่อน หัวใจคนเป็นแม่อย่างเธอแทบแตกสลายเมื่อรับรู้ข่าวร้ายนี้ สาเหตุที่ตรวจพบโรคร้ายนี้เนื่องจากลูกสาวของเธอมักจะป่วยบ่อย โดยมีอาการเหนื่อยเร็วขึ้นเมื่อออกแรง เหนื่อยมาก หอบ นอนราบไม่ได้ หายใจลำบาก จากอาการดังกล่าวหมอจึงสงสัยว่าลูกสาวของเธอจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ จึงได้ทำการตรวจอย่างละเอียด และพบว่า เด็กหญิงเฌอริตาเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วทางด้านซ้าย เกิดจากความผิดปกติของหัวใจที่มีความบกพร่องตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจจะถ่ายทอดมาจากทางพันธุกรรม ฌาริยาคิดว่าโรคนี้อาจจะถ่ายทอดมาจากฝั่งของธนัทธามเพราะป้านิภาเคยบอกว่าคุณหญิงพิมาลามีลูกชายสองคนแต่เสียชีวิตไปหนึ่งคนเพราะเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เด็กหญิงเฌอริตาถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสำหรับเด็กโดยเฉพาะที่อยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งฌาริยาต้องพาลูกสาวไปพบหมอตามนัดทุกเดือน และค่าใช้จ่ายในการรักษาและการเดินทางก็มากพอสมควร ฌาริยาจึงจำเป็นต้องนำเงินที่คุณหญิง พิมาลาให้มาหนึ่งล้านบาท นำมาใช้จ่ายในส่วนตรงนี้ เพราะในตอนนั้นเธอเองก็ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีงานทำ ส่วนรายได้จากการขายขนมหวานก็แค่พออยู่พอกิน ส่งผลให้เงินเก็บที่มีอยู่เหลือน้อยลง และในอนาคตอาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจหากว่าเด็กหญิงเฌอริตามีอาการแย่ลง
ตอนนี้ฌาริยายังไม่ได้หางานทำหลังจากเรียนจบเพราะต้องดูแลลูกสาวที่กำลังป่วยและต้องการกำลังใจเป็นอย่างมาก และอีกสองวันก็จะถึงวันนัดตรวจอาการของเด็กหญิงเฌอริตาแล้ว ฌาริยากำลังเตรียมตัวพาลูกสาวตัวน้อยเดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์ในวันพรุ่งนี้
“แม่ฌาจ๋า พรุ่งนี้เราจะไปหาคุณหมอกันอีกแล้วเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ..ทำไมเหรอคะ?”
“น้องเฌอไม่อยากไปเลยค่ะ..น้องเฌอไม่อยากป่วย เมื่อไหร่น้องเฌอจะหายคะ?” คำถามของลูกน้อยทำให้หัวใจของคนเป็นแม่อย่างเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าเธอเป็นแทนลูกได้เธอก็อยากจะเป็น ฌาริยารู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ
ทำไมโลกนี้ช่างใจร้ายกับลูกของเธอนัก..
โลกนี้ส่งลูกสาวตัวน้อยมาให้เธอแล้วทำไมต้องส่งโรคร้ายมาให้ด้วย
“เดี๋ยวน้องเฌอก็หายนะคะ..คนเก่งของแม่” ฌาริยาดึงลูกสาวเข้ามากอดแนบอก
“น้องเฌออยากวิ่งเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง”
“โถ่! ลูกแม่ เอาไว้น้องเฌอหายป่วย แม่จะพาน้องเฌอไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ นะคะ” เธอลูบศีรษะของลูกสาวตัวน้อยเบาๆ
“จริงๆ นะคะ”
“จริงค่ะ”
“เย้ๆ น้องเฌอจะไปหาคุณหมอค่ะ น้องเฌอจะได้หายไวๆ” เด็กหญิงเฌอริตาดีใจกอดผู้เป็นมารดาจนแน่น
ขอบตาของฌาริยารื้นขึ้นมาด้วยความสงสารลูก ก่อนที่เธอจะรีบปาดทิ้งไปเพราะไม่อยากให้ลูกเห็นความอ่อนแอของเธอ เธอต้องเข้มแข็งต่อหน้าลูกเพื่อที่ลูกจะได้มีกำลังใจในการรักษาตัว
โรงพยาบาลเด็กxxx
“จากการตรวจของหมอ..หมอคิดว่าอาการของน้องดูแย่ลงนะครับ”
“จริงเหรอคะ..คุณหมอ”
“หมอว่าอีกไม่นานเราอาจจะต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เพราะตอนนี้น้องก็เริ่มโตพอที่จะเข้ารับการรักษาได้แล้ว”
“ค่ะคุณหมอ”
“หมออยากให้คุณแม่เตรียมเรื่องค่าใช้จ่ายซึ่งอาจจะเยอะพอสมควร ตอนนี้ยังพอมีเวลา หมอคิดว่าอาจจะหนึ่งถึงสองปี น้องคงต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แต่ถ้าอาการของน้องแย่ลงเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจไวกว่านั้น”
“ค่ะคุณหมอ ดิฉันจะพยายามหาเงินมารักษาลูกให้ได้ค่ะ”
หลังจากที่ฌาริยาพาลูกสาวมาตรวจตามที่หมอนัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงพาลูกเดินทางกลับเชียงรายด้วยรถทัวร์ในตอนกลางคืน เพื่อที่จะได้ไปถึงเชียงรายในตอนเช้าพอดี
เงินเก็บที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงทุกวัน
เธอคงต้องไปหางานทำเพื่อจะได้หาเงินมารักษาลูกของเธอ
“ป้าคะ..ฌาคิดว่าฌาจะไปหางานทำ หมอบอกว่าอาการของน้องเฌอแย่ลง อาจจะต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ต้องใช้เงินเยอะ ตอนนี้เงินเก็บที่มีก็เหลือไม่เยอะแล้ว” ฌาริยาปรึกษาผู้เป็นป้าหลังจากที่กลับมาถึงบ้านแล้ว
“แล้วฌาจะไปหางานทำที่ไหนล่ะ?”
“ฌาว่าจะไปลองหาแถวๆ ในเมืองดูก่อนค่ะ”
“เงินเดือนแถวต่างจังหวัดมันไม่เยอะเหมือนในกรุงเทพฯ หรอกนะ”
“ฌารู้ค่ะป้า แต่ฌาก็ไม่อยากจะอยู่ห่างจากลูก ฌาอยากจะดูแลลูกด้วยตัวของฌาเอง”
“ว่าไงก็ว่าตามกันลูก..น้องเฌอป้าจะดูแลให้เองในช่วงที่ฌาไปทำงาน”
“ขอบคุณป้ามากๆ นะคะ ถ้าชีวิตนี้ของฌาไม่มีป้า ไม่รู้ว่าป่านนี้ฌาจะเป็นอย่างไร”
“ตอนนี้เราก็เหลือกันแค่นี้..แม่เอ็งก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง เราจะไม่ทิ้งกันนะลูก”
“ขอบคุณค่ะป้า”
ทางด้านธนัทธาม หลังจากที่เขาเรียนจบปริญญาตรี ชายหนุ่มก็เรียนปริญญาโทต่ออีกสองปี และในตอนนี้เขาเรียนจบแล้วพร้อมกับใบปริญญาบัตรสองใบ แต่ชายหนุ่มยังไม่ยอมกลับเมืองไทย เพราะต้องการทำงานหาประสบการณ์ก่อน
ครืด! ครืด!
“สวัสดีครับคุณแม่”
(ธาม..ไม่กลับจริงๆ เหรอลูก)
“ผมขอทำงานหาประสบการณ์ก่อนนะครับคุณแม่”
(นานแค่ไหน?)
“อาจจะปีหรือสองปีครับ”
(แล้วธามไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่บ้างเหรอลูก ธามไปตั้งหกปีแล้วนะ)
“คุณแม่เป็นคนอยากให้ผมมาเองนะครับ”
(งั้นก็ตามใจธามเถอะลูก..ตอนนี้ธามคงไม่เชื่อฟังแม่อีกแล้ว)
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณแม่ ผมรักและคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่นะครับ แต่ผมอยากหาประสบการณ์การทำงานที่นี่จริงๆ ครับ”
(เอาเถอะๆ ตามใจธามก็แล้วกันนะลูก แม่แค่คิดถึงธาม แม่อยากเจอธาม)
“เดี๋ยวผมต้องวางสายก่อนนะครับคุณแม่ ผมต้องไปทำงานแล้วครับ”
(จ่ะลูก ดูแลตัวเองด้วยนะ แม่เป็นห่วง)
“ครับคุณแม่ สวัสดีครับ”
หลังจากวางสายมารดา ธนัทธามพ่นลมหายใจออกมา เขายังไม่อยากกลับเมืองไทยเขาอยากประสบความสำเร็จให้ถึงขีดสุดก่อน ตอนนี้เขาลงทุนกับเพื่อนเปิดบริษัทเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ซึ่งกำลังไปได้ดี เขาต้องอยู่ช่วยเพื่อนของเขาจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน เขาจึงจะกลับเมืองไทยได้ นอกจากเขาจะเรียนจบบริหารแล้ว เขายังเรียนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที อีกด้วย