ฌาริยาได้งานในตัวเมืองซึ่งเป็นบริษัทรับทำบัญชีขนาดเล็ก เธอได้เงินเดือนไม่ถึงเก้าพันบาท ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการเดินทางแล้ว เธอเหลือเงินแค่เดือนละหกพันบาท และไหนจะโดนหักในวันที่เธอพาลูกน้อยเดินทางไปหาหมออีก ไม่รู้ว่าเธอต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะสามารถเก็บเงินได้หลักแสน อาการของเด็กหญิงเฌอริตาก็เหมือนจะแย่ลงทุกวัน
“แม่จ๋า..วันนี้น้องเฌอเหนื่อยจังเลยค่ะ คุณครูให้เพื่อนๆ วิ่งแข่งกัน แต่น้องเฌอไม่ได้วิ่งค่ะ น้องเฌอเดินเอาค่ะ แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี” คำบอกเล่าของลูกสาวทำให้เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยิน เด็กหญิงเฌอริตากลับมาจากโรงเรียนก็จะมาเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟังว่าคุณครูให้ทำอะไรบ้าง ตอนนี้ลูกสาวของฌาริยากำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลหนึ่งที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ในตำบลที่เธออาศัยอยู่
“โถ! ลูกสาวของแม่ รอแม่อีกนิดนะคะ แม่กำลังหาเงินมารักษาน้องเฌอให้หายป่วยเร็วๆ นะคะ” ขอบตาของผู้เป็นมารดาร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความสงสารลูกสาวจับใจ
“พรุ่งนี้แม่ฌาไปทำงานมั้ยคะ?”
“ไปค่ะ แม่หยุดไปสองวันแล้ว เดี๋ยวจะโดนไล่ออกเอา”
“น้องเฌออยากให้แม่กลับบ้านไวๆ แม่ไปทำงานทีไร แม่กลับบ้านค่ำทุกวันเลย”
“แม่ต้องไปทำงานหาเงินมารักษาน้องเฌอยังไงคะ ที่ทำงานของแม่อยู่ไกลแม่ก็เลยถึงบ้านค่ำค่ะ”
“น้องเฌออยากเล่นกับแม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ”
“เอาแบบนี้ดีมั้ยคะ..ถ้าน้องเฌออาการดีขึ้น แม่จะพาน้องเฌอไปเที่ยว”
“จริงเหรอคะ? แม่ฌาจะพาน้องเฌอไปเที่ยวจริงๆ นะคะ”
“จริงค่ะ..แต่น้องเฌอต้องรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน โอเคมั้ยคะ?”
“โอเคค่ะ” เด็กหญิงเฌอริตารีบรับปากเพราะอยากจะหายจากโรคที่เป็นอยู่ อยากวิ่งเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง โชคดีที่เด็กน้อยเป็นเด็กที่กินยาง่าย ฌาริยาก็เลยไม่ต้องหนักใจในเรื่องนี้
หนึ่งเดือนผ่านไป
ฌาริยาทำงานกลับถึงบ้านค่ำมืดทุกวัน เพราะระยะทางไปกลับนั้นประมาณหกสิบกิโลเมตร กว่าเธอจะถึงบ้านลูกสาวตัวน้อยก็นอนหลับไปแล้ว เพราะปกติลูกสาวของเธอจะหลับในช่วงเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนตั้งแต่ยังเล็กๆ ลูกสาวของเธอกินและนอนตรงเวลา ไม่ติดจอเหมือนเด็กคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ฌาริยาจะชอบอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกคืน แต่เดี๋ยวนี้เธอแทบไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย
ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ฌาริยาต้องพาเด็กหญิง เฌอริตาไปหาหมอตามนัดอีก
“ฌา..เหนื่อยมั้ยลูก ไหวหรือเปล่า?” เสียงของผู้เป็นป้าเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาวไม่สู้ดีนัก
“ฌาไหวค่ะป้า”
“แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปกรุงเทพฯ อีกใช่ไหม?”
“ค่ะป้า”
“อดทนนะลูก..เดี๋ยวน้องเฌอก็หายป่วย”
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฌาจะเก็บเงินพอที่จะให้น้องเฌอผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ”
“ตอนนี้ฌามีเงินอยู่เท่าไหร่”
“เงินที่คุณผู้หญิงให้มาก็เหลือแค่สองแสนบวกกับเงินเดือนของฌาสองเดือนก็แค่สองแสนหนึ่งหมื่นสองพันเองค่ะ ไหนพรุ่งนี้จะต้องไปกรุงเทพฯ อีก”
“แล้วไอ้ค่ารักษามันเท่าไหร่กัน”
“ประมาณแปดแสนถึงหนึ่งล้านค่ะ”
“แพงจัง..ลำพังเงินเก็บป้าก็มีไม่กี่หมื่น กว่าที่ฌาจะทำงานเก็บเงินได้ขนาดนั้น มันจะอีกกี่ปี ป้ากลัวว่า…” ผู้เป็นป้าพูดถึงแค่นั้น เธอไม่กล้าจะพูดต่อก่อนจะหันไปมองหน้าหลานสาวที่ตอนนี้น้ำตากำลังเอ่อออกมา ต่อหน้าผู้เป็นป้าฌาริยาจะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ต่อหน้าลูกเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะกลัวว่าลูกจะหมดกำลังใจ
“ไม่ค่ะป้า..ยังไงฌาก็ต้องหาเงินมารักษาน้องเฌอให้หายให้ได้ค่ะ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตามฌาไม่มีวันยอมให้ลูกของฌาต้องจากไปอย่างแน่นอนค่ะ” พูดจบน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ป้าว่าฌาไปนอนเถอะ..พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นมาทำขนมอีก”
“ค่ะป้า” จากนั้นทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันอาทิตย์
ฌาริยาพาลูกสาวตัวน้อยขึ้นรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์ เพื่อที่จะไปถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าวันจันทร์ จากนั้นเธอก็พาลูกนั่งรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล
เมื่อถึงโรงพยาบาล จู่ๆ เด็กหญิงเฌอริตาก็เกิดอาการหอบ จนเป็นลมหมดสติไป ฌาริยาทั้งตกใจทั้งกลัว แต่โชคดีที่อยู่ในโรงพยาบาลพอดี ลูกสาวของเธอจึงได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
“อาการของน้องไม่ดีขึ้นเลยนะครับ..หมอให้เวลาคุณแม่อีกหกเดือน หมอคงต้องทำการผ่าตัดลิ้นหัวใจให้น้อง น้องรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้วนะครับ” เสียงของหมอทำให้โสตประสาทของฌาริยาดับไปชั่วขณะ ตอนนี้สมองของเธอได้แต่คิดว่าเธอจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ทัน ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ก็ราวเกือบนาที
“ค่ะคุณหมอ..ดิฉันจะพยายามหาเงินมาให้ได้ค่ะ” เธอมีเวลาแค่หกเดือน ถ้าเธอยังทำงานอยู่ที่เดิม ไม่มีทางที่เธอจะหาเงินได้ทัน
“หมอขอตัวก่อนนะครับ หมอขอให้น้องพักรักษาตัวที่นี่สักสองคืนนะครับ คุณแม่สะดวกมั้ยครับ หมอไม่อยากให้น้องต้องเดินทางตอนนี้”
“ค่ะ..ได้ค่ะ คุณหมอ”
“งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
จากนั้นฌาริยาก็โทรไปบอกป้านิภาให้ทราบเรื่องทั้งหมด และเธอก็นั่งเฝ้าลูกอยู่ที่เตียงซึ่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรวม เธอต้องประหยัดเงินไม่สามารถให้ลูกพักที่ห้องพักพิเศษได้
สองวันผ่านไป
เมื่อเด็กหญิงเฌอริตาหายดีแล้ว หมอจึงอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ฌาริยาจึงพาลูกสาวตัวน้อยขึ้นรถทัวร์กลับเชียงรายทันที
และเมื่อฌาริยากลับมาถึงบ้านก็ได้รับข่าวร้ายว่าบริษัทรับทำบัญชีที่เธอทำงานนั้นปิดตัวลง เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ ไม่มีลูกค้ามาจ้างทำบัญชี ทำให้เธอตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ฌาริยารู้สึกมืดแปดด้าน เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป
“ป้าคะ..ฌาคิดว่าฌาคงต้องไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ฌาฝากป้าดูแลน้องเฌอได้มั้ยคะ?”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ฌาไปเถอะ ไม่ต้องห่วงป้ากับน้องเฌอ ป้าจะดูแลน้องเฌอให้ดีที่สุด”
“ขอบคุณนะคะป้า เดี๋ยวฌาจะลองหาสมัครงานในเว็บที่รับสมัครงานดูก่อนค่ะ”
“จ่ะ”
ฌาริยาส่งใบสมัครตามที่ในเว็บรับสมัครงานประกาศ เธอส่งเรซูเม่ไปหลายที่ แต่ไม่มีที่ใดตอบรับกลับมาเลย แต่ฌาริยาก็ไม่ย่อท้อ เธอส่งไปอีกหลายๆ ที่ มันต้องมีสักที่แหละที่รับเธอเข้าทำงาน แต่เธอก็เข้าใจเพราะประสบการณ์การทำงานของเธอนั้นแทบจะเป็นศูนย์
และในที่สุดความพยายามของฌาริยาก็สำเร็จ เมื่อมีบริษัทแห่งหนึ่งติดต่อขอนัดสัมภาษณ์เธอ ฌาริยาดีใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยเธอก็ได้รับโอกาสถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุด