บทที่ 5
ของขวัญน่าหนักใจ
“ในวันเกิดของหม่อมฉันอีกสองฤดูต่อจากนี้ จินอ๋องให้เกียรติมาร่วมได้หรือไม่เพคะ” สตรีตัวน้อยกลั้นใจถามอกไป นางและตงหยางจินมิได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว การขอให้ชินอ๋องมาร่วมงานวันเกิดไม่ต่างไปจากคนถือดี แม้ว่านางจะมิได้มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม
“วันเกิดของเจ้าหรือ?”
“เพคะ และในวันนั้นหม่อมฉันอยากให้จินอ๋อง...” นางหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เนื่องจากสิ่งที่นางจะเอ่ยออกไปนั้นสร้างความลำบากใจให้กับตงหยางจินเป็นแน่ “นำปิ่นปักผมมาเป็นของขวัญให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
“ปิ่นปักผมหรือ?” บุรุษทวนถ้อยคำของนางด้วยความฉงนใจ
“เพคะ คะ คือว่า…” นางไม่รู้เลยว่าควรเอ่ยขยายความให้บุรุษเข้าใจเช่นไรดี
“เจ้ารู้ความหมายของมันหรือไม่?” บุรุษขมวดคิ้วถามนางด้วยความฉงนใจ และสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาก็คือการพยักหน้าแทนคำตอบ
“เอ่อ ถ้าจินอ๋องลำบากใจ แค่มาร่วมงานเฉยๆ...” เมื่อเห็นว่าตงหยางจินนิ่งอึ้งไป สตรีตัวน้อยก็เตรียมที่จะถอนคำพูด นางไม่คิดว่าตงหยางจินจะตอบตกลงง่ายๆ อยู่แล้ว เพียงแต่อยากลองเสี่ยงดู ไม่อยากจะมานั่งเสียใจในภายหลัง ว่าเหตุใดจึงไม่ลองทำใจกล้าบ้าบิ่นเอ่ยขอความช่วยเหลือจากตงหยางจิน หากแต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยสิ่งอื่นใด บุรุษก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ข้ามิได้ติดอันใด ทว่าการที่ข้ามอบปิ่นปักผมให้เจ้า อาจจะทำให้เจ้าบุรุษผู้อื่นมิกล้าชายตามองเจ้า เจ้าอาจจะมิได้แต่งงานกับผู้อื่น”
“เรื่องนั้นหม่อมฉันเองก็ไม่ติดสิ่งใดเพคะ หม่อมฉันไม่คิดที่จะเอาชีวิตไปฝากไว้ที่ผู้ใด หากยังไม่แน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นเป็นคนดีอย่างที่หม่อมฉันต้องการ” สตรีตัวน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเล็กน้อย
ประสบการณ์ชีวิตคราก่อนทำให้นางเจ็บปวดเหลือเกิน ถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อสกุล ยังไม่เคยได้ลองให้ใจกับบุรุษใดมาก่อน แม้จะรู้สึกผิดที่ดึงตงหยางจินเข้ามาในเรื่องราวเช่นนี้ก็ตาม
...หากจบเรื่องราวนี้ ข้าจะชดใช้ให้ท่านอย่างแน่นอน...
“ได้ หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าก็ส่งเทียบเชิญมาให้ข้า ข้าจะไปร่วมงานพร้อมกับปิ่นปักผมที่เจ้าต้องการ”
“ขอบพระทัยเพคะ จินอ๋อง” หลี่ไป๋อวิ๋นคำนับให้อย่างนอบน้อม สมกับที่ผู้น้อยคำนับผู้หลักผู้ใหญ่ บุรุษพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไปเมื่อเห็นว่าหลี่ฮุ่ยหลินกำลังเดินมา แม้ทั้งคู่จะเคยร่วมงานกันมาก่อน หากแต่เรื่องที่ตนออกมานอกวังนั้นรู้น้อยเท่าใดย่อมดี
“บุรุษผู้นั้นคือใคร?” หลี่ฮุ่ยหลินรีบเอ่ยถาม เมื่อเห็นน้องสาวของตนยืนคุยกับบุรุษแปลกหน้าเมื่อครู่นี้
“อ้อ นักท่องเที่ยวน่ะ ดูเหมือนจะหลงทาง อวิ๋นเอ๋อร์จึงบอกทางให้” สตรีตัวน้อยตัดสินใจโกหกออกไปเช่นนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินเที่ยวเล่นอีกครู่หนึ่งจึงเดินทางกลับจวน
ทว่ามีสิ่งหนึ่งติดค้างอยู่ภายในใจของสตรีตัวน้อย นั่นก็คือควันสีขาวราวกับหมอกทึบนั้น ปรากฏขึ้นในเมือง แม้ว่าจะลับตาผู้คนก็ตามแต่ก็มิได้เปลี่ยวถึงขนาดที่ไม่มีผู้ใด แต่เหตุไฉนจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น?
อีกหนึ่งฤดูต่อจากนี้ จะถึงวันคล้ายวันเกิดของหลี่ไป๋อวิ๋น สตรีตัวน้อยคิดไม่ตกอยู่หลายวัน หากเป็นไปตามอดีตแล้ว ในวันนั้นตงจิ่นติ้งจะต้องมอบปิ่นให้นางเป็นแน่ คนในราชวงศ์มอบของขวัญให้ หากไม่รับมีแต่จะเสียมารยาท สตรีตัวน้อยทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย ทว่าเมื่อเดินมาถึงสนามฝึกประลอง ริมฝีปากอวบอิ่มก็เผยรอยยิ้มก่อนจะส่งเสียงร้องเรียกบิดา
“ท่านพ่อเจ้าขา!!” สตรีตัวน้อยเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน เป็นสิ่งที่นางมักกระทำเมื่อครั้นวัยเยาว์
เมื่อก้าวสู่วัยผู้ใหญ่การกระทำนั้นก็ลดน้อยลง เนื่องจากนางได้ร่ำเรียนมารยาท หากแต่นางรู้ดีว่าบิดาของตนนั้นชื่นชอบให้ตนทำตัวออดอ้อนเช่นนี้ ในอดีตนางเองก็อยากออดอ้อนบิดาแต่ก็ต้องรักษามารยาท ทว่ายามนี้มีแต่คนของบิดาทั้งนั้น ออดอ้อนเสียหน่อยจะเป็นไรไป อดีตชาตินางมัวแต่รักษามารยาท ชาตินี้นางขอออดอ้อนให้สมกับที่ได้รับความรักเสียหน่อยเถิด
บิดาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวของตนเอง ท่าทีสุขุมเมื่อครู่ชะงักกึก ริมฝีปากเกือบจะขยับเป็นรอยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารของตนจะหลุดมาดมิได้
“ท่านพ่อเจ้าขา!” หลี่ไป๋อวิ๋นยังคงไม่หยุด ร้องเรียกบิดาเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนั้น จนบิดาต้องต้องเดินมาหาด้วยตนเอง
“มีเรื่องอันใด สตรีมิควรมาที่แบบนี้”
“อวิ๋นเอ๋อร์คิดถึงท่านพ่อเจ้าค่ะ” ไม่เอ่ยว่าเปล่า สตรีตัวน้อยโอบกอดรอบเอวของบิดาวางมาดของตน อย่างไม่นึกรังเกียจเหงื่อไคลของบุรุษเพศ
“ตัวข้าเหม็นเหงื่อหนา” แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วบิดาของนางพอใจเหลือเกิน ที่ถูกบุตรสาวออดอ้อนเช่นนี้
“ไม่เห็นเหม็นเลยเจ้าค่ะ”
“ออดอ้อนเช่นนี้ อยากได้สิ่งใดกัน หืม?” เอ่ยอย่างนึกเอ็นดู ไม่ว่าสิ่งใดหากเป็นสิ่งที่บุตรสาวต้องการ และต้องไม่เป็นสิ่งที่มากเกินไป ตนหามาให้ได้อยู่แล้ว
“หม่อมฉันแค่อยากกอดท่านพ่อนี่เจ้าคะ ไม่ช้าไม่นานอวิ๋นเอ๋อร์ก็ต้องออกเรือน ถึงยามนั้นจะมากอดท่านพ่อได้หรือ?”
“ได้สิ เจ้าก็กลับบ้านมาเยี่ยมข้ากับแม่ของเจ้าบ่อยๆ ก็กอดได้แล้ว”
นางผละอ้อมกอดออกก่อนจะช้อนดวงตาขึ้นมองบิดาแล้วเอ่ยออกไปว่า...
“ท่านพ่อสอนเคล็ดวิชาให้อวิ๋นเอ๋อร์อีกได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เคล็ดวิชาหรือ?”
“เจ้าค่ะ อวิ๋นเอ๋อร์อยากเรียนมากกว่านี้”
“มิได้ เจ้าเป็นสตรี จะร่ำเรียนเคล็ดวิชาไปเพื่ออันใดกัน?”
“อวิ๋นเอ๋อร์อยากมีวิชาไว้ป้องกันตัวเจ้าค่ะ ภายภาคหน้ามิอาจล่วงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่เจ้าคะ” หลี่ผิงมองบุตรสาวด้วยความฉงนใจ มีข่าวลือว่าหลี่ไป๋อวิ๋นดูต่างไปจากเดิม เห็นจะเป็นเรื่องจริง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
“จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกันล่ะเจ้าคะท่านพ่อ อวิ๋นเอ๋อร์ก็แค่... อยากปกป้องตนเองได้ มิใช่รอให้คนอื่นมาปกป้องอย่างเดียว” แม้ดวงหน้าหวานจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ผู้มองรู้สึกเศร้าเหลือเกิน
แววตาของนางคล้ายกับมีบางสิ่งปิดบังไว้ หลี่ผิงอยากรู้แต่มิอาจเอ่ยถามได้ เรื่องเช่นนี้ยิ่งเค้นความไปจะยิ่งแย่ ไว้ให้นางพร้อมที่จะบอกเองย่อมดีกว่า
ภาพจำในอดีตคอยหลอกหลอนนางทุกวันคืน หัวของบิดาและพี่ชายของตนหลุดออกจากบ่า ด้วยฝีมือของทรราชผู้โหดเหี้ยม เพียงเพราะมีหลักฐานแก้ต่างความบริสุทธิ์ให้นาง แก้ต่างว่านางมิได้ทรยศต่อแผ่นดิน หากแต่ถูกใส่ร้าย
อดีตนางมิอาจปกป้องครอบครัวได้ แต่ยามนี้หวนกลับคืน แม้ตัวต้องตาย นางก็จะปกป้องครบครัวไว้ให้ได้!
“ก็ได้” ท้ายที่สุดแม้รู้ว่าไม่เหมาะสมหากผู้ใดล่วงรู้เข้า ว่าอิสตรีร่ำเรียนเคล็ดวิชาเช่นนี้ ทว่าหลี่ผิงกลับคิดว่านางคงมิได้ใช้ ยามนี้บ้านเมืองสงบสุข บุตรสาวอยู่ข้างกายตน ไร้อันตรายย่างกรายนาง แต่ด้วยความหนักแน่นของบุตรสาวจึงยอมโอนอ่อน “ทว่าจงจำไว้ เคล็ดวิชาต่างๆ มีไว้เพื่อปกป้อง มิได้มีไว้เพื่อทำร้ายผู้ใด”
“รับทราบเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
จากนั้นหลี่ไป๋อวิ๋นก็ได้เรียนเคล็ดวิชาจากบิดาโดยตรง แน่นอนว่าเมื่อมารดารู้เรื่องก็โดนดุยกใหญ่ ทว่าเมื่อโดนลูกอ้อนของบุตรสาวเข้าไป ก็ต้องอนุญาตอย่างเสียมิได้
ทั้งสองต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่าหลี่ไป๋อวิ๋นดูเปลี่ยนไปจากเดิม นางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก ทั้งๆ ที่นางเพิ่งเลยวัยปักปิ่นมาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่กลับทำราวกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่า
และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง วันคล้ายวันเกิดของหลี่ไป๋อวิ๋นจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ก็ได้ขุนนางชั้นสูงมาร่วมยินดีด้วย เนื่องจากบิดาของนางมีเส้นสายจากตำแแหน่งไท่ฝู สตรีตัวน้อยงดงามสมวัย นางยิ้มแย้มให้กับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน หากแต่ในขณะที่ทุกคนกำลังร่วมยินดีกับบุตรสาวสกุลหลี่ แขกมิได้รับเชิญก็ปรากฏกายขึ้น
“นั่นมัน ไท่จื่อนี่”
“เหตุใดไท่จื่อจึงมาที่นี่?”
ตงจิ่นติ้งก้าวเท้าเข้าสู่งานวันคล้ายวันเกิดของหลี่ไป๋อวิ๋น บุรุษทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้ามาหาหลี่ไป๋วิ๋นผู้เป็นเจ้าของงานในครานี้
ดวงตาคู่งามจ้องมองใบหน้าของบุรุษนิ่งงัน บ้างก็ว่านางตกตะลึงในรูปโฉมของไท่จื่อผู้นี้ บ้างก็ว่านางกำลังตกหลุมรักแรกพบ หารู้ไม่ว่าที่นางนิ่งค้างเช่นนี้ เนื่องจากภาพจำในอดีตซ้อนทับบุรุษตรงหน้า
ใบหน้ากระหายซึ่งอำนาจ ใบหน้ายามสังหารผู้คนกำลังย่างกรายเข้ามาหานาง ราวกับมัจจุราชก็มิปาน!!
สตรีตัวน้อยเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะได้สติว่ามิควรกระทำเช่นนั้น หากทำการเสียมารยาทไปในตอนนี้ มิใช่เพียงนาง แต่สกุลของนางจะโดนผู้คนครหาเอาความได้ ว่าสั่งสอนบุตรไม่ดี ให้มีกิริยาไร้มารยาท หลี่ไป๋อวิ๋นจึงยิ้มรับก่อนจะโค้งกายคำนับอย่างนอบน้อม
“คำนับ ไท่จื่อเพคะ”
ตงจิ่นจิ้งเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ดวงตาเรียวคมจดจ้องมองนางไม่วางตา
“ยินดีกับเจ้าด้วย นี่เป็นของขวัญจากข้า” บุรุษยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กไปตรงหน้าของหลี่ไป๋อวิ๋น สตรีตัวน้อยมองมันไม่วางตา พลางลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความอึดอัดใจ กวาดสายตามองหาหลี่ฮุ่ยหลิน ก็เห็นว่าบุรุษถูกบิดากักตัวเอาไว้
หากไม่รับก็เป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมาก ทว่าหากรับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คงไม่ต่างไปจากในอดีต...