ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นเลยสักนิด
เมื่อไม่อะไรจะต้องพูดกันอีก ฟลอเรนซาจึงรั้งให้เอเดรียนขยับเท้าตาม แต่เจ้าตัวเล็กกลับไม่ยอมขยับตัว ดวงตากลมโตใสแจ๋วยังคงจับจ้องที่เอริค
“แย่จังฮะ”
“...”
“ผมคิดว่าคุณลุงเป็นคุณพ่อของผมซะอีก”
“...”
“แม่ครับ ที่ดวงตาของผมเป็นสีฟ้าเหมือนคุณลุง สีผมก็เหมือนคุณลุง เป็นแค่เรื่องบังเอิญใช่ไหมฮะ”
ฟลอเรนซาชาวาบไปทั้งร่าง กล้ามเนื้อในอกซ้ายคล้ายมีของแหลมคมมาเสียดแทงจนเจ็บอก หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะให้คำตอบบุตรชายอย่างยากลำบาก
“จ้ะลูก ใครๆ ก็มีตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลทองได้ทั้งนั้น หากมีสายเลือดของชาวยุโรป ลูกเคยเห็นคนที่มีดวงตาสีเทาอ่อนเหมือนแม่ไหม”
“ครับ”
“เห็นไหมว่าคนอื่นๆ ก็มีดวงตาสีเดียวกันได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นญาติพี่น้องหรือมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด”
“เข้าใจแล้วฮะ”
เมื่อหมดข้อสงสัย เอเดรียนจึงเป็นฝ่ายจับจูงมารดาไปเสียเอง ฟรังโก้ที่เห็นทั้งคู่หายมานานจึงเข้ามาตาม สัญชาตญาณของบอดี้การ์ดมองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังมีสิ่งที่ผิดปกติ และยิ่งได้เห็นเอริคจ้องมองสองแม่ลูกอย่างไม่วางตาแบบนั้น ก็ต้องยิ่งระมัดระวัง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ ไปกินมื้อกลางวันกันดีกว่า”
ฟลอเรนซาบอกโดยไม่ได้หันไปมองคนเบื้องหลัง ฟรังโก้ไม่ได้คาดคั้นเมื่อหญิงสาวปฏิเสธเขาจำต้องเชื่อแบบนั้น ส่วนเอเดรียนเองคงจะเหนื่อยกับการที่ต้องยืนนานๆ จึงอ้อนให้ฟรังโก้อุ้มอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
“ฟรังโก้ฮะ เมื่อยจังเลยฮะ”
พอเอเดรียนเอ่ยออกมาแบบนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มก็ลดตัวลงแล้วช้อนเอาร่างกลมป้อมขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินจากไป ปล่อยให้เอริคมองตามด้วยแววตาสับสน ร่างกายของเขาชาวาบ ก้อนเนื้อในอกซ้ายของชายหนุ่มกระตุกวูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะคิดได้ทั้งสามคนก็ลับสายตาไปแล้ว
และพอคิดถึงใบหน้าเล็กของเจ้าหนูเอเดรียน ทั้งอายุ สีผม สีตาที่เหมือนเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยกเว้นริมฝีปากเพียงเท่านั้นที่เหมือนฟลอเรนซา ความจริงข้อหนึ่งกระแทกหน้าเข้าอย่างจังโดยไม่ต้องเสียเวลาตรวจดีเอ็นเอเลยด้วยซ้ำ มือหนาทั้งสองข้างกำเข้ากันแน่น
“มันจะมากไปแล้วนะฟลอนซ์ ครั้งก่อนคุณเคยทำร้ายผมอย่างเลือดเย็น ผมยอมได้ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณได้ทำแบบนั้นแน่”
“...”
“ลูกต้องเป็นของผม”
สีหน้าคล้ายกำลังกังวลใจของฟลอเรนซาอยู่ในสายตาของฟรังโก้ตลอดเวลาระหว่างที่รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน มีเพียงเอเดรียนเท่านั้นที่สนุกกับการรับประทานซูชิหน้าไข่กุ้งกับปลาแซลมอน อาการที่เขี่ยอาหารไปมาของฟลอเรนซาทำให้ฟรังโก้อดกังวลไม่ได้
“คุณฟลอนซ์มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”
ฟลอเรนซาที่เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตักอาหารเข้าปากเลยสักคำแหงนหน้าขึ้นมองฟรังโก้ ก่อนจะตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก
“มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยค่ะ”
“ถ้าคุณฟลอนซ์อยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกได้นะครับ”
“ค่ะ”
ฟลอเรนซารับคำก่อนจะจัดการคีบซูชิเข้าปาก ฟรังโก้ที่เป็นคนช่างสังเกตคงจับสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอได้ เลยถามออกมาแบบนั้น เมื่อฟลอเรนซาตักอาหารเข้าปากไปแล้ว ฟรังโก้จึงจัดการอาหารตรงหน้าตัวเองต่อ ฟลอเรนซาหันไปมองเอเดรียนที่จัดการซูชิเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะจัดการคีบซูชิใส่ปากตัวเองไปอีกชิ้น
เอริคกลับมาที่ห้องพักซึ่งก็คือโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ ชายหนุ่มทราบดีว่าตัวเองไม่ควรบุ่มบ่าม การจะทำเรื่องที่ใหญ่พอสมควรเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เขามากรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทที่มีภรรยาเป็นชาวไทยอย่างคลินต์ เพื่อนของเขาเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เมืองไทยได้เกือบๆ ห้าปี เขาเดาว่าคลินต์น่าจะพอมีเส้นสายอยู่ที่นี่บ้างไม่มากก็น้อย เขาต้องการรู้เรื่องทั้งหมดอย่างเร่งด่วน เพราะไม่ทราบว่าฟลอเรนซาจะเดินทางกลับอิตาลีเมื่อไร เพราะหากรอถึงเวลานั้นเขาคงลงมือลำบากแน่ เอริคจึงไม่รีรอ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทร.ออก
“ว่าไงเพื่อน”
“ฉันมีเรื่องให้นายช่วย” เอริคบอกเสียงเครียด
“นายอยากให้ฉันช่วยอะไร” พอปลายสายบอกเสียงเครียดแบบนั้น คลินต์จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาบ้าง
“นายพอจะรู้จักนักสืบมือดีบ้างไหม”
“นักสืบงั้นเหรอ” คลินต์ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “นายต้องการนักสืบไปทำไม เดี๋ยวก่อนนะ นายจะต้องบินกลับนิวยอร์กคืนนี้แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้…”
“นายช่วยส่งนักสืบมาให้ฉันก่อน แล้วฉันจะอธิบายทุกอย่างให้นายฟัง”
“โอเค เดี๋ยวฉันจัดการให้”
เมื่อเอริคดูร้อนใจเป็นอย่างมากคลินต์ก็เลิกคาดคั้น ส่วนเอริคพอคลินต์รับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะจึงกดวางสาย จากเดิมที่นั่งโซฟาหุ้มหนังสีครีมอ่อน ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นไปหยิบเบียร์จากตู้เย็นขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าวมาหนึ่งกระป๋อง ก่อนจะสาวเท้ากลับมาที่โซฟาตัวเดิมแล้วนั่งลงพร้อมๆ กับดึงฝากระป๋องเบียร์ออก ใบหน้าหล่อเหลาแหงนเงยขึ้นดื่มเบียร์ลงคอไปอึกใหญ่ จนกระทั่งเบียร์พร่องไปเกือบๆ ครึ่งกระป๋องชายหนุ่มจึงลดมือลง ดวงตาสีฟ้าฉายแววเคร่งเครียด รวมถึงใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ด้วย
“ฟลอนซ์ คุณทำเกินไปจริงๆ ครั้งก่อนผมยอมให้คุณ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมเป็นอันขาด ถ้าคุณไม่ยอมให้ลูกไปกับผม ผมจะพาคุณไปด้วย”
“...”
“ไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”
อีกประมาณสี่สิบนาทีต่อมา เสียงเคาะประตูห้องของเอริคก็ดังขึ้น ร่างสูงจึงขยับตัวลุกจากโซฟาแล้วสาวเท้าไปเปิดประตู
“คุณคลินต์ส่งผมมาครับ”
เอริคพานักสืบวัยประมาณสี่สิบปีเข้ามานั่งที่โซฟา ก่อนที่นักสืบคนดังกล่าวจะเป็นฝ่ายแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อสยามนะครับ คุณเอริคต้องการให้ผมทำอะไรสั่งมาได้เลยครับ”
สยามสนทนากับเอริคด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เอริคมองหน้าสยามแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมา นิ้วเรียวยาวเลื่อนไปที่แอปพลิเคชั่นแกลเลอรี่ ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่นานก็เจอในสิ่งที่ต้องการ
“ผมอยากให้คุณช่วยสืบว่าในแต่ละวันผู้หญิงคนนี้ไปที่ไหน ไปกับใครและทำอะไรบ้าง ผมต้องการข้อมูลอย่างละเอียด เธอชื่อฟลอเรนซา”
“...”
“ฟลอเรนซา คาสซาโน่”
“ได้ครับ”
“อ่อ ช่วยสืบให้ด้วยว่าเธอมีคนรักหรือสามีหรือยัง”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
“ผมขอด่วนที่สุดนะ เพราะผมต้องกลับนิวยอร์ก”
เอริคเลื่อนไฟล์ทบินออกไปก่อน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา หรือต่อให้ต้องจ่ายเงินค่าตั๋วใบใหม่ก็ไม่ได้ทำให้เงินในกระเป๋าของพ่อค้าเพชรหนุ่มสั่นคลอนแม้แต่น้อย แต่ถ้าได้เรื่องเร็ว เขาก็จะจัดการเรื่องต่างๆ ได้เร็วขึ้น เพราะเขามีโรงงานเจียระไนเพชรและร้านจิเวลรีที่ต้องกลับไปดูแล
คฤหาสน์ลิลลี่
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง เอเดรียนเข้านอนแล้วส่วนฟลอเรนซานอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง แต่หญิงสาวไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ยิ่งพอนึกถึงช่วงกลางวัน ตอนที่เธอได้เจอกับคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลาห้าปีเต็มอย่างเอริค ความปวดแปลบก็อัดแน่นอยู่ในอก ภาพเหตุการณ์ระหว่างเขากับเธอลอยวนเข้ามาในหัวจนไม่อาจสลัดมันออกไปได้ ไม่มีวันไหนเลยที่เธอไม่คิดถึงเขา เพราะเอเดรียนลูกชายของเธอ ถอดแบบเอริคมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เธอรู้จักเอริคในฐานะพ่อค้าเพชรที่มาใช้บริการห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมคาสซาโน่แกรนด์ในการจัดงานโชว์เครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่ๆ ทุกปี และมีความสนิทสนมกับเธอและพี่ชายฝาแฝดของเธอในระดับหนึ่ง รวมถึงน้องสาวบุญธรรมของเธออย่างนีรญาที่เปลี่ยนสถานะเป็นพี่สะใภ้เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เอริคเคยชอบนีรญา ทว่าหลังจากที่นีรญาแต่งงานกับพี่ชายฝาแฝดของเธอ ทั้งคู่ก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจะเลยเถิดจนกระทั่งมีลูกด้วยกันได้ เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นหลังจากเสร็จพิธีงานแต่งงานของฟอซโซกับนีรญา ก่อนที่เอริคจะเดินทางกลับนิวยอร์ก