บทสนทนาระหว่างทั้งคู่ไหลเรื่อยไปกระทั่งเข็มนาฬิกา ย่างเข้าสู่เวลาเกือบเที่ยงคืนภารัณก็ลุกกลับห้อง พรุ่งนี้เขามีนัดคุยเรื่องที่ดินประมูลชายหนุ่มจึงเกรงว่าถ้าสนุกต่อคงยาวและได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง เช้าขึ้นมาตัวเองอาจปวดหัวและทำให้ประสิทธิ์ภาพการเจรจาลงลดมือหนาหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋าทาบบนแผงดิจิทัล เปิดเข้าไปไม่ทัน เสียบการ์ดกลับพบไฟหลายดวงสว่างจ้ารอคอยการกลับมาของเขา
“พี่รัณ”
ได้ยินเสียงหวานอันคุ้นเคยเล่นเอาคิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ รูม่านตาขยายกว้างยามเห็นร่างเล็กในชุดเดรสสีชมพูอ่อนยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัว ภารัณยกมือลูบใบหน้าตอกย้ำว่าตอนนี้ไม่ได้ฝันไป
ฟ้ารดาอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ
“ฟ้ามาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่โทร.บอกพี่”
ใจแกร่งคล้ายจะกระโดดโลดเต้น ทว่าเขาแค่กำหมัดซ่อนอาการดีใจก่อนปั้นหน้านิ่งดังเดิม
“ไม่เฉลยค่ะ แต่ถ้าฟ้าไม่มาคงไม่รู้ว่าพี่รัณแอบเหลวไหลอยู่ ข้างนอก” ใบหน้างามส่ายพัลวัน รอยยิ้มบนเรียวปากเลือนหายกลายเป็นบูดบึ้ง หญิงสาวแสร้งกอดอกทำท่าแง่งอนด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นไร
“พี่ดื่มแค่นิดเดียวเอง” ชายหนุ่มโกหกคำโต สองขาเบี่ยงไปหยิบขวดน้ำจากนั้นก็กระดกของเหลวเข้าปากหวังให้กลบ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้ง
“พี่รัณรู้อะไรไหมคะ”
“หืม” ดวงตาคู่คมเหลือบมองสาวเจ้าที่อยู่ดีๆ หย่อนกายนั่งเท้าคางบนเก้าอี้ทรงสูงใกล้เคาน์เตอร์บาร์
“ตัวเองโกหกไม่เก่งเลย” เธอหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แววตาฉายประกายหยอกเย้าปนจับผิดในคราเดียว
“แต่ไม่เป็นไร ดีซะอีกเวลาที่พี่โกหกฟ้าจะได้รู้ทัน”
“หมู่นี้ฟ้าแสบขึ้นเยอะนะรู้ตัวหรือเปล่า ดูสิขนาดมาหาพี่ยัง ไม่บอกสักคำ”
“ก็พี่รัณอ่อยให้ฟ้ามาหาเองจะบ่นอะไรตอนนี้คะ”
นึกถึงบทสนทนาผ่านกล้องหน้าจอเมื่อครู่ความอายพลันปรากฏจนผิวแก้มร้อน มันวนเวียนก่อกวนคนตัวเล็กไม่ดับลงโดยง่าย
“พี่แค่ห่วงแทนที่จะให้ขับรถไปรับ”
“ฟ้าโตแล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ”
“จะโตแค่ไหนในสายตาพี่ฟ้าก็ยังเด็กอยู่ดี” เจ้าของวงหน้า ทรงเสน่ห์ยิ้มน้อยๆ พลางยื่นมือโยกศีรษะเธอ
“ค่ะ ฟ้าเป็นเด็กน้อยตลอดแหละ”
พอหญิงสาวย่นหน้าใส่ภารัณก็อดใจไม่ไหวเดินอ้อมไปอีกฝั่งทันที เขาหมุนเก้าอี้หันมาเผชิญหน้าวาดแขนทั้งสองข้างกักร่างเล็กไว้ในอ้อมกอด
“งอนเหรอ”
“เปล่าไม่ได้งอนสักหน่อย” ใบหน้าหวานหันหลบจังหวะเดียวกับที่มือสากเชยคางมนพอดี ฟ้ารดาใสซื่อจนไม่รู้หรือไงนะยิ่งปฏิเสธด้วยวิธีนี้ภารัณยิ่งเซ้าซี้ต่อไม่เลิก
“แน่ใจ?” ดวงตาทั้งคู่สบกันใกล้แค่คืบ ลมหายใจระยะประชิด ร้อนผ่าวเหมือนมีเปลวไฟสุมข้างใน
“หืมม” เสียงทุ้มลากยาวจากนั้นจึงกดปลายจมูกชิดจมูกเธอ สัมผัสแผ่วเบาล้วนแฝงไปด้วยความนุ่มนวลและออดอ้อนจนใจ ดวงน้อยสั่นไหว
“ไม่เอา ไม่คุยแล้วดีกว่า!” มือบางดันแผงอกแกร่งออก เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคนเจ้าเล่ห์จะลงมือทำอะไร ถ้าเธอไม่รีบไหวตัว มีหวังถูกเขาปล้นจูบคาเก้าอี้แน่นอน
“หึ ไม่” ภารัณส่ายหน้าไม่น้อมรับคำสั่ง
“พี่รัณ”
“ไปอาบน้ำกัน”
เขาอุ้มร่างน้อยลงเก้าอี้กะทันหันทำให้หญิงสาวจำต้อง โอบรอบคอ และใช้ขาทั้งสองเกี่ยวเอวสอบไว้แน่น
“พี่รัณไม่เอา อย่าแกล้งฟ้าแบบนี้”
“ไม่ทันแล้วฟ้า”
เสียงงอแงประท้วงดังๆ ตั้งแต่โซนบาร์กระทั่งชายหนุ่มย่างเท้าเข้าห้องน้ำก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ภารัณวางฟ้ารดาบนเคาน์เตอร์ หินอ่อน ฉับพลันความเย็นเฉียบแตะลงหลังปลีน่อง เมื่อเดรส ตัวสวยที่เธอสวมอยู่ร่นสูงกว่าเดิมหลายเท่า แววตาวับวาวลอบมองขาอ่อนนอกเนื้อผ้า นาทีนั้นชายหนุ่มได้แต่แอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมองแอบจินตนาการไปไกลจน กู่ไม่กลับ
“ปากนี่หวานเหมือนเดิมหรือเปล่า”
น้ำเสียงทุ้มพร่าต่ำยามมือเลื่อนลูบไล้เอวคอด ใบหน้าหล่อซุกลงตรงติ่งหูขาวพลางขบเม้ม เสียงหญิงสาวที่เปล่งออกมาเบาหวิวจนคนฟังแทบไม่ได้ยิน
“พี่รัณอย่าค่ะ”
คนเก่งเมื่อครู่หายไปในพริบตาเดียว แขนเรียวปล่อยแนบลำตัวภารัณทาบริมฝีปากบดจูบดูดดื่ม ปล้นชิงลมหายใจเธออย่างร้ายกาจ จูบอบอวลไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งทั่วโพรงปากช่างเย้ายวน ชวนหลอกล่อให้ฟ้ารดาค่อยๆ เผยอกลีบปากฉ่ำหวานตามสัญชาตญาณเร้า สมองเธอขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก มึนเมารสจูบจนปล่อยอีกฝ่าย ดูดดึงริมฝีปากอย่างเอาแต่ใจ
“อ๊ะ…” ฟ้ารดาหลุดครางเมื่อภารัณปล่อยจูบแล้วย้ายไป ขบกัดไหล่ขาวแทน ไรฟันคมลากสายคล้องไหล่ให้หล่นลงมา เสือหนุ่มไม่ลืมประทับรอยจูบไปบนผิวกายเธอ เมื่อเดรสตัวสวยกองอยู่บริเวณเอวเผยสองเต้างามให้มือเขาเร่งเข้าไปฟอนเฟ้น ปากหยักละเลงจูบผ่านผ้าลูกไม้เช่นเดียวกับมืออีกข้างที่ยังคงบีบเคล้น
“อ๊ะ…พี่รัณ อย่าแกล้ง”
คนตัวเล็กกัดปากระบายความซ่านสยิวโดยไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวพรากสติภารัณขาดกระจุย เดิมทีฟ้ารดาน่าปรารถนาอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ท่าทางใสซื่อไม่ปรุงแต่งใดๆ แต่ดูเซ็กซี่เหลือเกินในสายตาใครหลายคน
“ทำไม บอกพี่สิน้องฟ้าอยากได้อะไรคะ…” น้ำเสียงเว้าวอนผสมลมหายใจร้อนทำหญิงสาวหูตาพร่ามัวชั่วขณะ รู้อีกทีชั้นใน ตัวจิ๋วก็ถูกภารัณโยนลงบนพื้น มือหนาพลิกร่างบางหันหลัง ตา สองคู่สบกันหน้ากระจกจังหวะที่ใบหน้าหล่อเหลาเกยบนไหล่ขาว
“หืมมม”
ลิ้นสากเลียข้างซอกคอระหงไล่ขึ้นไปงับกกหูเธอ เสียงลากถามพร้อมนิ้วร้ายแทรกเข้าหาโพรงอ่อนนุ่ม ปลายนิ้วเคลื่อน เข้าออกหลายครั้งจนน้ำหวานไหลทะลักไม่ต่างกับหยาดฝน
“อ๊ะ พี่รัณเร็วกว่านี้ได้ไหมคะ”
ฟ้ารดาหอบกระเส่าเพราะความเสียว ใบหน้าหวานเวลาเหยเก เร้าอารมณ์ จนภารัณอดไม่ไหวต้องเชยคางมนให้เธอเห็นตัวเองในกระจกอย่างชัดเจน
“เร็วกว่านี้เหรอคะ” เขาเอ่ยเสียงเบาจากนั้นก็ถอนนิ้วออก ไม่สานต่อสิ่งที่เธอต้องการ
“พี่รัณ หยุดทำไม” หญิงสาวขมวดคิ้วเพราะอีกฝ่ายไม่ตามใจ แต่หารู้ไม่ตัวเองหลงกลเสือร้ายเข้าเสียแล้ว
“จะทำให้ฟ้าเสียวกว่านี้” พูดจบภารัณก็จับเรียวขาเล็กแยกออกจากกัน ก่อนจะรั้งบั้นท้ายขาวให้โก่งมาด้านหลัง เขาเติมเต็มเธออย่างรวดเร็วเร่าร้อนจนเธอตั้งรับไม่ทัน ฟ้ารดาสะดุ้งเฮือก ทั้งจุกเจ็บและเสียวซ่านในคราวเดียวกัน กายสาวบีบรัดความ แข็งกร้าวอย่างรุนแรง หญิงสาวหอบหายใจปนครวญคราง
ยิ่งยามเมื่อคนเบื้องหลังสาวสะโพกเธอก็เบ้หน้ามีอารมณ์ มองเห็นสีหน้าแดงก่ำในกระจกก็ยิ่งหฤหรรษ์ คนตัวเล็กเขินอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ภารัณกระแทกกระทั้นจังหวะรัวเร็ว โจนจ้วงเข้าออกกระทั่งแตะขอบสวรรค์รอบแรกของค่ำคืน
“ดีไหม”
“อื้อ” นัยน์ตาคู่หวานพริ้มหลับยามมือแกร่งพลิกร่างเธอกลับมา
“อีกรอบนะ”
ฟ้ารดาประกบจูบริมฝีปากเขาแทนคำตอบ สมรภูมิรักครั้งใหม่เริ่มขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่าย
ผ่านไปหลายชั่วโมงสองหนุ่มสาวก็กลับมานอนกอดก่ายกันบนเตียงนุ่ม ภารัณกดจูบบนไหล่เปลือย
“ดึกขนาดนี้ไม่ง่วงหรือไง” น้ำเสียงละมุนข้างใบหูฟังดูทั้ง ออดอ้อนและเอาใจ
“ถ้าฟ้าบอกว่าง่วงพี่รัณจะยอมให้ฟ้านอนเหรอคะ” เธอถามแม้รู้ทันเขาเป็นอย่างดี
“ไม่ต้องมาโบ้ยพี่ ตัวเองก็ชอบที่พี่ทำเถอะ”
“พี่รัณหลอกเก่งต่างหาก ฟ้าเลยสมยอม” ฟ้ารดายู่หน้า คนร้ายกาจข้างหลังทำใจดวงน้อยเต้นแรงเสมอ
“พี่หลอกเก่งกับฟ้าหลงพี่มีเส้นบางๆ กั้นอยู่รู้ไหม” เสียงกระซิบพร่าต่ำ มือเขาลูบเรือนผมสีน้ำตาลด้วยสัมผัสอ่อนโยน
“ถ้าพี่ถามบางอย่างตอนนี้ ฟ้าสัญญาได้ไหมว่าจะตอบ ความจริงพี่”
“คะ”
พอได้ยินเช่นนั้นร่างอรชรก็หมุนตัวกลับมาสบตาผู้พูด แววตา สั่นไหวมองรอยยิ้มบนเรียวปากงาม ความรู้สึกเขาไม่ต่างกับการ ถูกเข็มนับพันกระหน่ำแทงขั้วหัวใจ เกิดฟ้ารดาจำได้ขึ้นมาและกลับไปเย็นชาอย่างเดิมจะทำเช่นไร ความเศร้ากอปรกับท่าทีเสียใจในค่ำคืนนั้นภารัณลืมไม่ได้สักวัน
“พี่รัณหน้าตาซีเรียสจัง ทำไมคะหรือมีความลับซ่อนไว้บอกฟ้าไม่ได้”
“ความลับเหรอ”
เขาปั้นหน้าเครียด คิ้วขมวดกันเป็นปม เสียงทุ้มฟังดูจริงจังกว่ายามปกติ
“ใช่ พี่มีความลับอย่างหนึ่งเก็บไว้นานมากๆ ฟ้าอยากรู้หรือเปล่าว่าอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟ้ารดาจึงบังคับใบหน้าคมไม่ให้หันหนี เสียงเธอเบาคล้ายกระซิบ
“งั้นบอกฟ้ามาสิคะ ถ้าเกี่ยวกับพี่รัณก็อยากรู้หมดแหละ”
ดวงตาทรงเสน่ห์วาววับเหมือนน้ำทะเลเวลาต้องแดด แววตาเปล่งประกายยิ่งละลายใจให้อ่อนยวบ
“หึ” เสียงทุ้มหัวเราะตัวเอง ความน่าหลงใหลของเธอทำภารัณเหมือนอยู่ท่ามกลางเขาวงกต แม้เดินไปไกลแค่ไหนสุดท้ายก็วนกลับมาหยุดที่เดิม
“ฟ้าทำแบบนี้พี่ก็ไปไหนไม่รอดสิ”
คนแพ้ยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความขมและหวานในคราวเดียวกัน
“ถึงพี่อยากฟ้าก็ไม่ให้ไปหรอก”
“แน่ใจเหรอที่พูด”
“ถามแบบนี้หมายความว่าไงคะ”
“พี่แค่กลัวว่าวันหนึ่งฟ้าจะเปลี่ยนใจ”
“กลัวฟ้าไม่รักพี่อีก” ประโยคหลังเลือนหายกลายเป็น ความเงียบเข้ามาแทน เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดความรู้สึกลึกๆ อย่างตรงไปตรงมา ผิดกับฟ้ารดาที่ยังคงจริงใจเสมอ
“ถ้าพี่ไม่ทำให้ฟ้าเสียใจก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”
ในอดีตเธอเคยบอกประโยคนี้กับเขา ไม่ว่าฟ้าถล่มหรือแผ่นดินทลายผู้หญิงคนนี้ไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาด และในวันนี้คงเป็นเช่นเดิม
แต่ภารัณผิดสัญญา…
“งั้นความลับที่พี่จะบอกคือพี่รักฟ้า…”
“…”
“รักมาก” พูดจบชายหนุ่มก็ดึงฟ้ารดาเข้ามากอดทันที มือแกร่งลูบไปตามเรือนผมยาวลามถึงแผ่นหลัง ส่วนคนตัวเล็กเมื่อได้รู้ความลับนี้ก็นิ่งไป จะขยับกายปฏิเสธก็ไม่ได้คล้ายถูกมนตร์ร้ายร่ายให้กลายเป็นหิน อาจเพราะที่ผ่านมาไม่มีใครล่วงรู้นอกจาก ตัวเธอ เบื้องหลังใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มต้องกักเก็บความเศร้าไว้เพียงใด
“ค่ะ”
เธอขานรับสั้นๆ เพราะปวดร้าวเกินกว่าจะตอบสนองอย่างอื่น ในวันวานความรักที่เคยมีให้เขาสร้างแผลใหญ่จนใจเน่าผุพัง ทว่าบัดนี้บาดแผลแสนน่าเกลียดตกสะเก็ดเหลือแค่รอยเตือน ความทรงจำ เคยโง่แล้วก็อย่ากลับไปโง่ซ้ำซาก ถ้าวันนั้นไม่โชคดีป่านนี้เธอคงนอนอยู่ในหลุม ไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมจากคนสารเลว
“ง่วงจังฟ้านอนดีกว่า ฝันดีนะคะพี่รัณ”
ฟ้ารดาขืนตัวออกห่างพลางยิ้มยั่วสมองคิดถึงแผนการใน วันพรุ่งนี้ ถ้าเปิดเผยไม้เด็ดภารัณอาจสับสนและคิดว่าสงคราม ใต้น้ำกำลังก่อตัว แต่แท้จริงสำหรับฟ้ารดามันเริ่มตั้งแต่วันที่เธอ ลืมตาและไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดจนกว่าเขาได้รับผลกรรม