ห้องนั่งเล่นในคอนโดของเวธัสมีแขกไม่ได้รับเชิญถึงสองคน ปุริมที่นอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาเบดและเพลิงนิลที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่พื้นเอาหลังพิงโซฟาอย่างสบายใจ ทั้งสองหนุ่นเป็นเพื่อนสนิทของเวธัสจบคณะวิศวะเครื่องกลมาด้วยกัน ปุริมทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทพ่อตัวเองส่วนเพลิงนิลทำธรุกิจส่วนตัว
“เมื่อวานมีสายรายงานว่ามึงพาผู้หญิงเข้าโรงแรม”
เพลิงนิลจี้บุหรี่ลงบนถาดรอง น้ำเสียงเรียบนิ่งหันไปมองเวธัสที่กำลังเล่นกับเจ้าออดี้อยู่บนพื้นไม่ไกลจากเขานัก
ปุริมดีดตัวขึ้นมาจากโซฟามองเพลิงนิลแล้วหันไปถามเวธัสที่ยังทำนิ่งไม่หืออือกับสิ่งที่เพลิงนิลพูด
“บั้นเด้ามึงกลับมาใช้งานได้แล้วเหรอวะ ไอ้สัสเครื่องจักรกลับมาทำงาน”
ก็หลังจากที่เลิกกับรุ่นน้องคนสวยไอ้เพื่อนตัวดีก็ถอดเขี้ยวเล็บ ไม่ยุ่งกับผู้หญิงเลยตลอดสองปี เครื่องเจ็ดยับที่ขึ้นชื่อของวิศวะเครื่องกลกลายเป็นแค่ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
“แต่เมื่อคืนมึงออกจากเกมไปตามแฟนเก่า ให้กูพูดต่อไหมว่ามึงพาใครเข้าโรงแรม”
เพลิงนิลย้ำ มุมปากได้รูปยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“เชี่ย จริงเหรอวะไอ้เพลิง” ปุริมถามอย่างตื่นเต้นอยากเผือกเรื่องของเวธัสจนหูกระดิก
“ถามมันดิ” เพลิงนิลโบ้ยไปให้เจ้าตัว
“มึงสองตัวมาเป็นสัตว์เลี้ยงกูไหมออดี้มันคงดีใจที่มีเพื่อนเพิ่ม ตัวหนึ่งก็แสนรู้อีกตัวก็ขี้เสือก”
“สัส”
“ไอ้เหี้ย อย่าเฉไฉบอกมากูอยากรู้”
“เอ่อ”
“ก็แค่นั้น” เพลิงนิลได้คำตอบที่พอใจ เขาหยิบบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นมาจุดสูบเอาสารนิโครตินเข้าร่างกาย
“มึงกลับไปคบกับน้องเขาเหรอวะ” ปุริมยังคงถามต่อ เขาอยากรู้นี่ผ่านไปตั้งสองปีจู่ๆกลับมาขึ้นเตียงกันได้ยังไง เข้าโรงแรมขนาดนั้นเพื่อนรักคงไม่พารุ่นน้องไปนั่งเล่นโป้งแปะกันหรอก
“เปล่า มุกบอกแค่หาเพื่อนนอน”
“โดนแฟนเก่าฟันแล้วทิ้งว่างั้น”
“อ่าหะ”
“โดนแล้วทิ้งยังจะมาทำหน้ามีความสุขอีก มีแผนอะไรเล่ามาดิกูอยากฟัง”
ปุริมใช้มือป้องหูข้างหนึ่งแล้วเอียงหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าบอกกูมาเถอะความเสือกกูทำงานเต็มที่แล้ว
“ที่ถ่อกันมาถึงคอนโดกูเพราะอยากเสนอหน้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวกูว่างั้น”
เวธัสปล่อยเจ้าออดี้กลับไปยังห้องนอนใหญ่เจ้าหมาตัวกลมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ที่เพลิงนิลพ่นออกมาสักเท่าไหร่ นิสัยเหมือนใครบางคนไม่มีผิด
“เปล่าก็มึงกลับมาจากอังกฤษตั้งหลายเดือนแล้วแต่ไม่ยอมไปหาพวกกูนี่”
ก็อย่างที่ปุริมว่าเขาเรียนจบกลับมาก็เริ่มทำงานเลย ที่จริงตอนที่อยู่อังกฤษเขาก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยการใช้ชีวิตในต่างประเทศค่อนข้างลำบากในช่วงแรก เพราะสถานะทางการเงินของครอบครัวไม่สู้ดีนักเขาจึงต้องรีบเรียนให้จบและกลับมาทำงานให้เร็วที่สุด
“ยุ่งๆงานที่บริษัทกูไม่ได้เป็นลูกคนรวยเหมือนพวกมึงนี่ เวลากูเป็นเงินเป็นทอง”
“แล้วที่บ้านมึงโอเคแล้วใช่ป่ะ” ปุริมถามเสียงอ่อน รู้ๆกันอยู่ว่าเวธัสไม่ชอบให้ถามถึงเรื่องที่บ้านมากนัก แต่พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เวลาเพื่อนมีปัญหาเขาก็อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“อืม ป๊ากูก็ดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนแต่ยังต้องพักรักษาตัว”
“กูรู้ว่ามึงเกรงใจแต่พูดจริงๆนะมีอะไรก็บอกกูกับไอ้ปืนได้ เพื่อนกันไอ้ห่า” เพลิงนิลที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นบ้าง ปุริมเองก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย
“เอ่อขอบใจ”
“ว่าแต่พวกเราจะนั่งคุยกันเฉยๆงี้เหรอวะ ไม่มีอะไรมาล้างปากหน่อยเหรอกูกับไอ้เพลิงคอแห้ง ใช่ไหมน้องเพลิง”
“น้องพ่องมึงสิไอ้ปืน ไอ้ควาย ห้องมันไม่มีเบียร์สักขวด กูดูมาแล้วมึงลงไปซื้อที่ซุปเปอร์ข้างล่างไป” นอกจากจะอวยพรแล้วเพลิงนิลยังประเคนเท้าให้อีกหนึ่งดอก
“อะใช้บัตรกูแล้วกันอยากแดกอะไรก็ซื้อมา เอาคีย์การ์ดไปด้วย”
ปุริมไม่ปฏิเสธรับบัตรเครดิตและคีย์การ์ดคอนโดมาด้วยใบหน้ายิ้มแป้นจนน่าหมั่นไส้ รีบออกไปซื้อเครื่องดื่มเย็นๆมาล้างคอ
“มีอะไรจะคุยกับกู” หลังจากปุริมออกไปเวธัสก็เอ่ยถามเพลิงนิลทันที คนถูกรู้ทันกระตุกยิ้มเขาทิ้งก้นบุหรี่แล้วลุกมานั่งบนโซฟา
“ปิ่น ทักมาขอคอนแทกต์มึง”
เวธัสไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ปิ่นหรือปาลีเป็นน้องสาวของปุริม เพลิงนิลถึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเพื่อนสนิทกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดมาก
เพราะเรื่องที่ปาลีแอบชอบเวธัสมีไม่กี่คนที่รู้แม้แต่ปุริมเอง
น้องสาวเพื่อนตามติดชีวิตเวธัสอยู่ช่วงหนึ่งตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก มองอีกฝ่ายเป็นเพียงน้องสาวและที่เข้ามาสนิทด้วยเพราะเห็นเขาเป็นเพื่อนพี่ชาย
แต่ปาลีเริ่มแสดงออกมากขึ้นช่วงที่เขาตกลงปลงใจเป็นแฟนกับมุกดา และตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าน้องสาวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ
“เอาไงจะกลับไปคบแฟนเก่าหรือจะให้โอกาสน้องมัน”
“มุกไม่ใช่แฟนเก่า เพราะกูไม่เคยเลิกกับมุก”
น้ำเสียงหนักแน่นสวนกลับไปทันควัน
“มึงไม่เลิกแต่น้องเขาเลิกนะไอ้เวย์”
“กูรู้ แต่กูจะเอาของกูคืน”
วันที่ถูกมุกดาบอกเลิกเขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพราะเขาปฏิเสธคำพูดก่อนหน้านั้นของเธอไม่ออก
‘อยู่กับพี่มุกไม่มีความสุข’
‘มุกมีแต่ความทุกข์และน้ำตา’
เมื่อได้ฟังประโยคเหล่านี้ตีแสกหน้าเขาจะกล้าเหนี่ยวรั้งเธอไว้ได้ยังไง
“มึงอย่าเข้าใจกูผิดนะไอ้เวย์ กูไม่ได้จะคัดค้านที่มึงจะกลับไปคบมุกหรอกนะ กูแค่อยากให้มึงคิดดีๆตอนเขาบอกเลิกสภาพมึงเป็นยังไงมึงน่าจะรู้ดี กูก็แค่เป็นห่วงเรื่องที่บ้านมึงก็หนักมากพออยู่แล้ว”
“กูเข้าใจ”
เวธัสเข้าใจถึงความหวังดีของเพลิงนิลทุกคนเข้าใจว่ามุกใจร้ายที่เป็นฝ่ายบอกเลิกในช่วงเวลาที่เขากำลังลำบาก แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามุกต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
“ไม่น่าซื้อมาเยอะเลยกูหนักฉิบหาย”
เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงบ่นกะปริดกะปรอยของปุริม ทำให้บทสนทนาระหว่างเวธัสกับเพลิงนิลจบลงเพียงแค่นั้น
“อ้าวยืนนิ่งกันทำไมไอ้เหี้ย มารับ กูหนัก”
ถุงพลาสติกสองถุงใหญ่ๆบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมขบเคี้ยวมาเต็มถุงวางลงกับพื้น ปุริมถอนหายใจเหนื่อยแต่ก็สู้ได้เพราะได้ของฟรี เวธัสสงสารเพื่อนที่ทำท่าเหมือนจะขาดใจตายช่วยถือถุงทั้งสองไปวางไว้ที่หน้าตู้เย็น
“ไอ้สัสเพลิง ไหนมึงบอกไม่มีเบียร์แล้วนี่มันกระป๋องอะไรไอ้ส้นตีน”
ปุริมตะโกนด่าไอ้คนที่บอกไม่มีเบียร์เลยสักขวดอย่างโมโห เมื่อเขาเปิดประตูตู้เย็นออกก็พบว่ามีขวดเบียร์อัดแน่นอยู่เต็มตู้
“ก็กูหลอกควายไง ควายมันโง่”
“ไอ้สัส มึงไม่ต้องกินของที่กูซื้อมาเลยนะ ไอ้ฉิบหายกูทั้งเดินไกลทั้งถือของหนัก” คนถูกแกล้งโวยวาย
“อย่ามาโทษกู โทษความตะกละของมึงโน่น”
ปุริมได้แต่ก่นด่ามันต่อในใจ เอ่อเขาผิดเองที่เห็นแก่ของฟรี แต่ช่วยไม่ได้นี่แม่สอนให้รู้จักใช้เงินเป็นตั้งแต่เด็ก
แล้วสามหนุ่มก็ตั้งวงเล็กๆตรงห้องรับแขกทีวีจอใหญ่ฉายหนังสงครามที่กำลังยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด กระป๋องเบียร์เปล่าเริ่มวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปไม่กี่นาทีพวกเขาก็ซัดมันราวกับกินน้ำเปล่า
ครืด ครืด ครืด
“ไอ้เวย์โทรศัพท์มึงมีสายเข้า”
ปุริมช่วยหยิบโทรศัพท์ที่สั่นสะเทือนไปให้เวธัส หน้าจอเครื่องสื่อสารปรากฏชื่อคนที่โทรเข้ามาเด่นชัด
‘เด็ก’
“มึงมีเด็กที่ไหนวะไอ้เวย์”
พอได้ยินชื่อเวธัสก็รีบแย่งโทรศัพท์มาจากปุริมด้วยความร้อนรน เขาหนีหายเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา เพลิงนิลกับปุริมได้แต่มองตามอย่างฉงนสงสัย
“ฮัลโหลพี่เวย์”
ปลายสายส่งเสียงทันทีที่เขากดรับ
“ว…ว่าไงคะ”
เขาตอบกลับด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ทำไมเสียงเป็นแบบนั้นไม่สบายเหรอ”
“เปล่าค่ะ พี่แค่ดีใจไม่คิดว่ามุกจะเป็นฝ่ายโทรหาพี่ก่อน”
“เว่อร์”
“ไม่ได้เว่อร์นะคะ มุกลองฟังเสียงหัวใจพี่สิมันเต้นแรงมาก ตื่นเต้นจนมือเย็นไปหมด พี่นึกว่ามุกโกรธพี่เรื่องเมื่อคืน”
“พอๆเลย มุกโทรมาเรื่องงานมุกพร้อมพรีเซนต์แล้วพรุ่งนี้พี่ว่างกี่โมงมุกจะเข้าไปหาที่บริษัท”
“พรุ่งนี้พี่ไม่ว่างเลยค่ะ แต่พี่อยากดูงานของมุกก่อน รอบที่แล้วที่ฟังพรีเซนต์มีข้อมูลบางอย่างที่อยากให้แก้ เอาอย่างนี้นะคะพรุ่งนี้มุกมาหาพี่ที่คอนโดตอนหนึ่งทุ่ม คอนโดพี่อยู่ที่เดิมห้องเดิมค่ะมาได้เลย”
“เดี๋ยวๆ ทำไมมุกต้องไปหาพี่ที่คอนโดด้วย”
มุมปากของเวธัสยกยิ้มบางๆ
“จริงๆพี่ก็อยากนัดมุกที่อื่น แต่เจ้าออดี้มันไม่ค่อยสบายพี่ไม่อยากทิ้งให้มันอยู่คอนโดตัวเดียว”
“อ้าวแล้วเป็นอะไรมากไหมคะไปหาหมอหรือยัง”
น้ำเสียงมุกดาดูร้อนรน เธอไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของคนปลายสาย
“โฮ่ง โฮ่ง”
ส่วนเจ้าตัวกลมก็ฉลาดส่งเสียงได้ถูกเวลาไม่เสียแรงที่ให้ข้าวให้น้ำวันละสามมื้อ
“เจ็บเหรอครับลูกไม่เป็นไร มาพ่อกอด”
มุกดาขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ไม่รู้เจ้าออดี้จะป่วยหนักหรือเปล่า เธอทิ้งมันมาตั้งแต่ตัวยังเล็กจิ๋ว ไม่ได้ทำหน้าที่แม่เลยสักครั้ง เธอเป็นคนอยากเลี้ยงแต่ก็ทอดทิ้งมันอย่างคนไร้ความรับผิดชอบ
แค่ครั้งเดียว ไปเรื่องงานกับดูเจ้าออดี้สักหน่อยคงไม่เป็นไร
“ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้มุกจะเข้าไปถ้าออดี้อาการไม่ดีขึ้นพี่ต้องรีบพามันไปหาหมอนะ
“ค่ะ ถ้ามุกมาถึงก็เปิดประตูเข้ามาได้เลยนะพี่ใช้รหัสเดิม”
“อืม”
เสียงตอบเบาบางจนแทบจะไม่ได้ยิน
ดวงตาคมกริบมองสายที่วางไป เขาก้มลงไปลูบหัวเจ้าตัวอ้วนสีน้ำตาลเบาๆ
“พรุ่งนี้แม่จะมาหา เป็นเด็กดีกับแม่นะออดี้”